ตลาดหุ้น “แชมป์โลก” ปี 2017 คือใคร?

argen-peace

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

เข้าปีใหม่มาได้หนึ่งสัปดาห์ ถือโอกาสเอาดัชนีโลกมาเทียบดู ไหนๆ เราก็ตกลงปลงใจจะไปลงทุนหุ้นต่างประเทศเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาแล้ว ต้องศึกษาเสียหน่อยว่าผลงานใครเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ปรากฏว่า ปีนี้เป็น “ปีทอง” ของ “หุ้น” อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “หุ้นไทย” แต่เป็นหุ้นทั่วโลก

นักลงทุนไทยอาจนึกว่าตลาดหุ้นบ้านเรานี่ทีเด็ดแล้ว เพราะบวกขึ้นมาถึง 13.66% แต่เมื่อเทียบกับหุ้นของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกประเทศพัฒนาแล้ว หรือแม้จะรวม emerging markets ด้วยกัน ต้องถือว่าของเรา “ธรรมดามาก”

มาดูกันว่าปีที่ผ่านมา ใคร “เข้าวิน” ..

แชมป์โลกปี 2017 คือ “อาร์เจนตินา” ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์บวกขึ้นมา 77% อันดับสองคือ ตุรกี บวก 48% เช่นเดียวกับ “เวียดนาม” ที่ดัชนี VNI บวกขึ้นมา 48% เท่ากัน (ขอข้ามเศษทศนิยม) และเป็นแชมป์ของเอเชียด้วย ส่วนอันดับสาม คือ ไนจีเรีย บวก 42%

จะเห็นได้ว่า อันดับ 1-3 เป็นประเทศโลกที่สามล้วนๆ โดยเฉพาะเวียดนาม ตลาดสุดเลิฟของวีไอไทย ซึ่งน่าจะทำให้ใครที่เดินตาม ดร.นิเวศน์ ไปซื้อหุ้นสกุลเหงียน มั่นใจขึ้นมาได้บ้าง

สำหรับอันดับรองๆ ลงมา กลับเป็น developed market ตัวเอ้ ดังต่อไปนี้

อันดับ 4  (ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของตลาดประเทศพัฒนาแล้ว) คือตลาดหุ้น “ฮ่องกง” โดยดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นถึง 35.99%

ที่น่าสนใจก็คือ เหตุที่หุ้นฮ่องกงขึ้นมาได้ขนาดนี้ ส่วนสำคัญมาจาก “Tencent” หุ้นซูเปอร์สต็อคไฮเทคจากแผ่นดินใหญ่ เจ้าของแอพ WeChat, QQ ที่เป็นตัวช่วยดึงตลาด จนบางคนแซวว่า น่าจะเปลี่ยนชื่อจาก Hang Seng index เป็น Tencent index เสียด้วยซ้ำ (นี่ยังไม่นับหุ้นจีนตัวอื่นๆ ที่ช่วยดึงดัชนีฮ่องกงเยอะมาก อย่าง ผิง อัน (บ.การเงิน) และ จี๋ลี่ ออโต้ (บ.รถยนต์))

ขณะที่อันดับ 5 ของโลก (และอันดับ 2 ของตลาดพัฒนาแล้ว) ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพี่ใหญ่อย่าง “สหรัฐอเมริกา” ที่ฮ็อตต่อเนื่องมาร่วมหนึ่งทศวรรษ โดย S&P 500 ปรับขึ้น 19% ขณะที่ดาวโจนส์ขึ้น 25% ส่วนแนสแด็คกระฉูดถึง 28%

ที่พลาด Top 5  ไปนิดเดียว คือตลาดหุ้น “ญี่ปุ่น” ยักษ์หลับแห่งเอเชีย ในปี 2017 นี้ หุ้นซามูไร “กลับมา” อย่างยิ่งใหญ่ โดย Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นถึง 19.1% แพ้ S&P 500 แค่นิดเดียว 

แต่หากเทียบกับอดีตที่ผ่านมา น่าจะถือว่าการขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้น “surprise” ที่สุดในโลกก็ว่าได้

เอาล่ะ ทีนี้ มาดูกันว่า แล้วหุ้นไทยอยู่ตรงไหน?

ในหมู่ประเทศ AEC ด้วยกัน นอกจากเวียดนามที่มาวินแล้ว ตลาดสิงคโปร์ถือว่ามาแรงมาก โดยปรับตัวขึ้น 18.13% ขณะที่ไทยเรา SET Index บวก 13.66% และแม้จะใช้ SET50 เป็น benchmark ก็ยังบวกเพียง 17.65% แพ้เจ้าสัวเมืองสิงห์ และแพ้เวียดนามเยอะมาก

ก่อนจบ ขอออกตัวทิ้งท้ายว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกนั้นมีอยู่ยุ่บยั่บมากมาย ที่ผมเรียบเรียงมา คือข้อมูลที่พบได้ในเว็บไซต์การเงินชั้นนำของโลกเท่านั้น

โดยภาพรวม อาจมีบางตลาด บางดัชนี ที่ตกหล่นไปบ้าง หรือบางประเทศอาจมีหลายดัชนี ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีข้อยกเว้น มีรายละเอียดปลีกย่อยอยู่ แล้วแต่จะหยิบยกข้อมูลตรงไหนมาว่ากัน (ยกตัวอย่างเช่น CNN Money จัดอันดับ 1-3 เป็น อาร์เจน ตุรกี ไนจีเรีย โดยข้ามเวียดนามไป) แต่หลักใหญ่ใจความ ถือว่าสรุปตามนี้ได้

หวังว่าที่เขียนมา น่าจะพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง แม้จะไม่ได้ลงทุนหุ้นต่างประเทศ ทราบเอาไว้ประดับความรู้คงไม่เสียหายอะไร

แต่สำหรับคนที่พร้อมจะ “ก้าวข้ามตลาดหุ้นไทย” ข้อมูลข้างต้นคงช่วยยืนยันได้ว่า โอกาสยังมีอยู่อีกมากมายทั่วโลก หากเราพร้อมที่จะไขว่คว้ามันครับ


ข้อมูลประกอบ : Bloomberg.com , Money.CNN.com, ejinsight.com, WSJ.com, jitta.com

ตั้งแต่ต้นปี 60 ลงทุนอะไร “ชนะ”

stockmkt

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

หลังจากอืดอาดมาตั้งแต่ต้นปี อยู่ๆ ตลาดหุ้นไทยก็คึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาเฉยๆ ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด

ถึงเวลานี้ เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี ดัชนีขึ้นวันละ 10-20 จุด เป็นเรื่องธรรมดา

มาดูกันนะครับว่า เก้าเดือนที่ผ่านมา “เรามาไกลขนาดไหน”

SET Index นับตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 6 ต.ค. 2560 บวกขึ้นมา จาก 1,542.94 จุด เป็น 1,695.97 จุด
ปรับตัวสูงขึ้น “9.91 เปอร์เซ็นต์”

โดยในช่วงระหว่างวันที่ 6 ต.ค. ได้พุ่งขึ้นทะลุ 1,700 จุด เป็นสถิติใหม่ในรอบกว่า 20 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หรือถ้าจะดูดัชนี SET 100 ก็บวกขึ้นมาถึง 11.66 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังแพ้ SET 50 ที่บวก “12.10 เปอร์เซ็นต์”

จุดสังเกตประการหนึ่งคือ เงินที่ไหลเข้ามา มุ่งไปยัง “หุ้นตัวใหญ่” เป็นหลัก!!

เอาล่ะ ทีนี้ มาเปรียบเทียบการลงทุนประเภทต่างๆ กันบ้างนะครับ

เริ่มจาก Index Fund หรือ “กองทุนอิงดัชนี” ที่ช่วงหลังๆ ผมพูดถึงค่อนข้างบ่อย โดยขอยกเฉพาะ กองทุน SET 50 ซึ่งได้รับความนิยมที่สุดมาให้ดู โดยผมได้ “สุ่ม” เลือกมาสามกอง เพราะไม่ได้ตั้งใจโฆษณาให้กองไหนอยู่แล้ว

กองแรก TMB SET 50 นับจาก 1 ม.ค. ถึง 6 ต.ค. 2560 บวกขึ้นมา “14.98 เปอร์เซ็นต์”
กองที่สอง Krungsri SET 50 LTF บวกขึ้นมา “14.50 เปอร์เซ็นต์”
กองที่สาม K-SET50 บวกขึ้นมา “15.00 เปอร์เซ็นต์”

เรียกได้ว่า “ดีเยี่ยม” แทบจะทุกกองที่สุ่มมา ชนะตัวดัชนีซึ่งเป็น benchmark ได้ถ้วนทั่ว

ทีนี้ มาดูกันต่อไปว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เลือกหุ้นเป็นตัวๆ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยขอยกหุ้นมาแค่ห้าตัว เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ active สักหน่อย ดังนี้นะครับ

เริ่มจาก AOT หุ้นสนามบินสุดฮ็อต นับตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 6 ต.ค. 2560 เพิ่มขึ้นจาก 39.80 เป็น 58.25 บาท (ปรับพาร์แล้ว) บวกมากถึง “46.36 เปอร์เซ็นต์ ตามการกระเตื้องขึ้นของการท่องเที่ยวในประเทศ เรียกได้ว่า เป็น “หุ้นดาวเด่น” แห่งปีเลยก็ว่าได้

ต่อมา CPALL หุ้นที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย ปรับตัวขึ้นจาก 62.5 เป็น 69.00 บาท บวก 10.4 เปอร์เซ็นต์ ชนะดัชนีอยู่นิดๆ แต่แพ้หุ้นตัวใหญ่หลายตัว

สำหรับ MINT อีกหนึ่งเครือธุรกิจอาหาร-โรงแรมยักษ์ใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 35.75 เป็น 41.5 บาท บวก 16.08 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าขึ้นมาเยอะพอสมควร แม้ในอดีตจะเคยวิ่งไปไกลกว่านี้มาแล้ว

และสำหรับหุ้นพลังงานเบอร์หนึ่งของไทยอย่าง PTT ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 372 บาท เป็น 420 บาท บวก 12.9 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ขี้เหร่เช่นกัน

แต่ถ้าท่านเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น BDMS เครือโรงพยาบาลใหญ่ระดับโลก และยังไม่ขายจนถึงตอนนี้ จากราคา 23.10 เมื่อต้นปี ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 20.70 บาท ร่วงลงมา 10.40 เปอร์เซ็นต์ สวนทางตลาดโดยสิ้นเชิง

โดยสรุป จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หากท่านลงทุนในกองทุนอิงดัชนี ผลตอบแทนที่ได้รับ แทบจะเรียกได้ว่า “เกินเป้า” แต่หากเลือกหุ้นลงทุนเอง ย่อมมีโอกาสทั้งได้และเสีย ซึ่งก็แน่นอนว่าในเวลานี้ “คนเสีย” ย่อมมีน้อยกว่า “คนได้” เพราะหุ้นขึ้นมาเยอะ แต่จะได้มากได้น้อย หรือเสีย ขึ้นอยู่กับฝีมือและจังหวะโอกาสของแต่ละคน

และทั้งหมดคือภาพรวมๆ ของตลาดหุ้นไทยในช่วงสามไตรมาส ส่วนอีกสามเดือนที่เหลือของปี คงไม่มีใครบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ยังไงเสีย ในช่วงเวลาที่กลับมา “ผันผวน” เช่นนี้ เราควรเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมความรู้ไว้ให้พร้อมเอาไว้

เพื่อที่จะตัดสินใจลงมือได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร นั่นเองครับ