“หนังสือแปล” มีดีไม่แพ้ต้นฉบับ?

lostintranslation

โดย สุภศักดิ์ จุลละศร

หลายท่านที่เป็นนักอ่านน่าจะเคยประสบปัญหาหรือเกิดอาการไม่สบอารมณ์จากการอ่าน “หนังสือแปล” และบางท่านที่สุดขั้วหน่อยก็อาจจะถึงกับตั้งธงไว้เลยว่าจะไม่อ่านหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยเด็ดขาด

เหตุผลที่พวกเขาให้ไว้ก็คือ หนังสือแปลมักจะสู้หนังสือภาษาอังกฤษต้นฉบับไม่ได้ ซื้อมาแล้วก็มักจะผิดหวัง สู้กัดฟันอ่านต้นฉบับไปเลยดีกว่า อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนแปลหนังสือ ผมกลับมองว่าหนังสือแปลสามารถที่จะ “ดี” ได้ไม่แพ้ต้นฉบับ และในหลายๆ กรณี หนังสือแปลก็อาจจะทำได้ดีกว่าต้นฉบับเสียด้วยซ้ำ

และต่อไปนี้ก็คือ มุมมองของผม …

เมื่อไรที่หนังสือแปลจะแย่?

ในการแปลหนังสือ สิ่งที่ผู้แปลพึงกระทำ (อย่างยิ่ง) คือ การรักษาเนื้อความดั้งเดิมให้ได้มากที่สุด หรือพูดแบบง่ายๆ ก็คือ อย่าแปลผิด อย่าแปลขาด และอย่าแปลเกิน

การแปลผิดความหมาย ถือได้ว่าเป็น “ความผิดขั้นร้ายแรง” ของนักแปล แม้บางครั้งนักแปลอาจแปลผิดได้โดยสุจริต คือ พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่ดีพอ อาจจะด้วยพื้นความรู้ที่ไม่ตรงกับแนวเนื้อหา เช่น แปลหนังสือด้านการลงทุน แต่ตัวเองกลับไม่เคยลงทุน หรือศึกษาด้านการลงทุนมาเลย อย่างนี้ก็เจ๊งแน่ หรืออีกแบบก็คือ ผู้แปลมีทักษะด้านภาษาไม่เพียงพอ อย่างนี้ก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน

นักอ่านจึงต้องดูด้วยว่า ผู้แปลมีพื้นความรู้มาทางด้านไหน หนังสือหลายเล่มมีประวัติโดยย่อของผู้แปลอยู่ท้ายเล่ม ผมแนะนำให้อ่านดูคร่าวๆ จะได้รู้ว่าหมอนี่เป็นใคร และมีผลงานอะไรมาบ้าง

ถัดมาเป็นเรื่องของ การแปลขาดหาย ซึ่งเป็นการแปลที่ทำให้เนื้อความดั้งเดิมตกหายไป ผู้อ่านจะยังได้รับความรู้หรือสาระสำคัญจากหนังสืออยู่ แต่ได้ไม่ครบ 100% ความเห็นของผมคือว่า ถ้าเป็นการ “แปลและเรียบเรียง” และการพยายามรักษาเนื้อความส่วนนั้นอาจทำให้การอ่านสะดุดโดยไม่จำเป็น (อย่าลืมว่าผู้เขียนต้นฉบับก็อาจเขียนแบบกะพร่องกะแพร่ง หรือพูดจาไม่รู้เรื่องได้เหมือนกัน) อย่างนี้ก็อาจอนุโลมได้ เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านเอง

ประเด็นสุดท้าย ได้แก่ การแปลเกิน เรียกว่าคนเขียนเขียนมา 100 คนแปลจัดให้ 110 กลายเป็นว่าสอดแทรกเนื้อหาหรือความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปอีก อย่างนี้ถือว่าไม่ดี เพราะคนอ่านจะแยกไม่ได้ว่าอันไหนเป็นเนื้อความจากผู้เขียน หรืออันไหนเป็นการขยายความของผู้แปล ที่ซ้ำร้ายคือ จะมีคนหยิบยกถ้อยคำพวกนั้นไปอ้างอิง แล้วบอกว่ามาจากผู้เขียน ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย

ทางออกก็คือ หากเนื้อความส่วนไหนยากและควรมีการอธิบายเพิ่ม ก็ควรแทรกเป็นฟุ้ตโน้ต (footnote) หรือใส่ไว้ในวงเล็บ และกำกับได้ด้วยว่าเป็นคำอธิบายจากผู้แปล อย่างนี้เป็นต้น ตรงนี้ก็จะเป็น “มูลค่าเพิ่ม” หรือ “value added” ที่ผู้แปลสามารถจะทำให้หนังสือทรงคุณค่ายิ่งขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

ลึกลงไปในรายละเอียด

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็น “แก่น” ที่ผู้แปลควรยึดถือ แต่ในส่วนของรายละเอียด หรือ “กระพี้” และ “เปลือก” เรายังต้องว่ากันต่อไป

สมมติเราซื้อหนังสือเล่มหนึ่งที่ปรมาจารย์ด้านการลงทุนของโลกเป็นคนเขียน แน่นอนว่าเราคงอยากรู้เนื้อความอย่างถูกต้องครบถ้วน ไม่ขาด ไม่เกิน แต่ถึงแม้จะหาคนที่แปลได้ตามนั้นแล้ว สิ่งที่ผู้อ่านต้องการไม่แพ้กันก็คือ “อรรถรส” ในการอ่าน

ผู้แปลสามารถส่งผ่าน “อารมณ์” และ “ความนัย” ที่ผู้เขียนให้ไว้ได้มากน้อยแค่ไหน? สำนวนเขียนของผู้แปลมีความสละสลวยและชวนให้อ่านได้อย่างไหลลื่นหรือไม่? ผู้แปลสามารถถ่ายทอด “บุคลิก” ที่มีอยู่ในงานเขียนได้ดีเพียงใด? นี่คือรายละเอียดที่เราต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน

บางครั้งเราเจอผู้เขียนที่เขียนไว้ดีมาก แต่ได้คนแปลที่ไม่ค่อยเอาไหน หนังสือดีก็เลยกลายเป็นหนังสือดาดๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ในทางกลับกัน คนแปลที่มีฝีมือ แต่ต้องไปประกบแปลหนังสือน่าเบื่อๆ ก็อาจกลายเป็นการฝังตัวเองไปได้เหมือนกัน เพราะคนอ่านเขาไม่รู้หรอกว่าต้นฉบับมันน่าเบื่อ

ด้วยเหตุนี้ผมจึงตกลงกับเพื่อนว่า หากจะแปลหนังสือ ก็ต้องเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าและน่าอ่านเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเสียเวลาเปล่า ได้ตังค์เท่าไหร่ก็ไม่คุ้ม

นักแปลไส้แห้ง?

“อาชีพนักแปล” ไม่ใช่อาชีพที่ทำรายได้งดงามอะไรมากนัก โดยเฉพาะถ้าหนังสือไม่ได้ติดอันดับขายดี (bestseller) หรือแม้บางครั้งต่อให้หนังสือติดอันดับขายดี แต่นักแปลได้รับค่าตอบแทนแบบคงที่ จ่ายกันครั้งเดียวจบ อย่างนี้นักแปลก็ “ไส้แห้ง” ได้เหมือนกัน

เพื่อนผมคนหนึ่งที่อยู่ในแวดวงแปลหนังสือบอกว่า การแปลหนังสือของเขาถือว่าเป็นรายได้พิเศษ และที่ว่าพิเศษนั้นก็เพราะว่า ปกติเขาเองก็อ่านหนังสืออยู่แล้ว การแปลหนังสือจึงเหมือนกับมีคนมาจ้างให้เขาทำในสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเพิ่มความพิถีพิถัน หรือใช้ความตั้งอกตั้งใจมากขึ้นเท่านั้น

นึกดูก็เหมือนการที่มีใครสักคนมาจ้างเราให้อาบน้ำ ทั้งที่จริงไม่ว่าอย่างไรเราก็คงจะอาบน้ำกันทุกวันอยู่แล้ว (ยกเว้นฝรั่งที่อยู่เมืองหนาว อันนั้นไม่แน่) สิ่งที่เราต้องทำเพิ่มก็มีแค่ตั้งใจอาบให้สะอาดขึ้นกว่าปกติ

โดยทั่วไปแล้ว นักแปลหนังสือไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะ “ได้เงิน” หรือ “ได้กล่อง” กันง่ายๆ เหตุผลก็คือ งานแปลจำนวนมากจ่ายค่าตอบแทนแบบคงที่ แล้วก็ไม่ได้เป็นอัตราที่มากมายอะไร ขณะที่ชื่อเสียงหรือความนับหน้าถือตา ส่วนมากก็ตกเป็นของผู้เขียนเสียมากกว่า เพราะถือว่าเป็นเจ้าของไอเดียตัวจริง

ด้วยเหตุนี้นักแปลที่ผมพบเจอจึงมักจะทำเพราะ “ใจรัก” มากกว่าจะหวังผลอื่นใด หรือบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังสือแปลคุณภาพดี มีจำนวนน้อยก็เป็นได้

หนังสือแปล… แซงหนังสือต้นฉบับ?!

หากดูแค่เพียงผิวเผิน ก็คล้ายกับว่าหนังสือแปลจะทำได้ดีที่สุดเพียงแค่เทียบเท่ากับหนังสือต้นฉบับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้แปลอาจเพิ่มคุณค่าให้กับหนังสือได้ด้วยเช่นกัน

หนังสือบางประเภทเป็นหนังสือเฉพาะทาง ยกตัวอย่างใกล้ๆ ตัวก็อย่างเช่น หนังสือด้านการเงินและการลงทุน ซึ่งบางทีผู้เขียนก็กล่าวถึงตราสารทางการเงิน เช่น พันธบัตร ตั๋วเงิน หรือหุ้นกู้ โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง “พื้นๆ” ทว่าในฐานะผู้แปล หากเรารู้ว่ามีโอกาสที่คนอ่านจะไม่เข้าใจ หรือไม่คุ้นเคย เราก็อาจแทรกคำอธิบายไว้ที่ footnote ได้

หรือบางครั้งมีการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ “ใครๆ ก็รู้” แต่ว่าเป็น “ใครๆ” ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างนี้ผู้แปลก็สามารถเล่าเรื่องเพิ่มเติม หรือเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่คนอ่านอาจจะคุ้นเคยกว่าในเมืองไทย อย่างนี้เป็นต้น

สิ่งที่พบกันบ่อยอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การใช้สำนวนในภาษาอังกฤษ ซึ่งหากแปลกันตรงๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นสำนวน ก็มีโอกาสที่จะเกิดความเข้าใจผิดไปคนละเรื่อง ผู้แปลก็จะมีบทบาทในการหาคำอธิบายที่เหมาะสมกับผู้อ่านซึ่งเป็นคนไทย

จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถหาได้จากหนังสือต้นฉบับ และเป็นโอกาสที่หนังสือแปลจะแซงหน้าหนังสือต้นฉบับได้ หรือถ้ามีใคร “ฟิต” และอยากอ่านหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษขึ้นมา เขาก็จะต้องทำการค้นคว้าเหล่านี้ในแบบเดียวกับที่ผู้แปลทำ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามมาก โดยเฉพาะถ้าผู้อ่านเองไม่ได้มีทักษะการอ่านหรือพื้นความรู้เท่ากับนักแปล

อีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ สำหรับคนไทยแล้ว การอ่านภาษาอังกฤษย่อมใช้เวลามากกว่าการอ่านภาษาไทย และบ่อยครั้งที่การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มโตๆ ต้องจบลงด้วยการ “อ่านค้าง” จากนั้นก็วางทิ้งไว้เป็นเดือนๆ ก่อนที่จะลงท้ายด้วยการ “อ่านไม่จบเล่ม”

ดังนั้น ถ้ามีหนังสือแปลที่แซงหน้าหนังสือต้นฉบับได้ เราก็ควรอ่านมัน แล้วเก็บพลังงานที่เหลือไปอ่านเล่มอื่นๆ ที่ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย และนี่ก็คือเทคนิคที่ผมใช้บริหารเวลาในชีวิตจริงครับ

 

ปรากฏการณ์ขอบฟ้า

horizon

โดย สุภศักดิ์ จุลละศร

ฟังชื่อแล้วหลายคนอาจสงสัยว่าคราวนี้ผมจะมาเล่าอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาหรือเปล่า ความจริงแล้วไม่ใช่หรอกครับ ผมยังคงวนเวียนอยู่กับ “หุ้น” และต้นทางของเรื่องนี้ก็ไม่ได้มาจากตลาดหุ้นอีกเช่นเคย เพราะเรื่องสนุกๆ รอบตัวเราสามารถเอามาโยงเข้าตลาดหุ้นได้อยู่เสมอ ส่วนคราวนี้ผมคิดไปถึงเกมครับ

นึกย้อนไปถึงกิจกรรมในสมัยก่อน เกมโปรดอันหนึ่งของผมและเพื่อนๆ ก็คือ “หมากรุก” ไม่ว่าจะเป็นหมากรุกไทย จีน หรือฝรั่ง ใครขนอะไรมาให้เล่นก็เล่นหมด แต่นั่นก็คืออดีต เนื่องจากสมัยนี้เราหาคนมาเล่นหมากรุกด้วยค่อนข้างยากแล้ว แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะเล่นกับคอมพิวเตอร์แล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะโปรแกรมฟรีให้ดาวน์โหลดก็มีเยอะแยะ

อย่างไรก็ตาม คนส่วนมากไม่ค่อยอยากเล่นหมากรุกกับคอมฯ แม้แต่เพื่อนผมที่เป็นเซียนหมากรุกยังบอกว่า คอมฯ มันเก่งเกินไป เล่นกี่ทีก็แพ้”

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์โลกส่วนมากจึงยอมศิโรราบให้กับหมากรุกคอมพิวเตอร์แต่โดยดี แม้แต่ผมเองก็ยังเรียกโปรแกรมขึ้นมาเล่นแค่พอแก้ขัดยามที่หาคนเล่นด้วยไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะอะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป และได้รู้ “ทีเด็ด” ที่จะใช้ต่อกรกับมัน

ทราบหรือเปล่าครับว่า ทำอย่างไรถึงจะ “คว่ำ” เจ้าสมองกลนี้ได้?!

วิธีชนะคอมพิวเตอร์

เซียนหมากรุกทราบกันดีว่า คู่แข่งสมองกลของเขานั้นฉลาดปราดเปรื่องเพียงใด คอมพิวเตอร์ไม่มีการเผลอหรือลืม สำหรับพวกมัน รู้ก็คือรู้ และเมื่อรู้แล้วก็ไม่มีลืม มันสามารถ “จดจำ” รูปแบบการเดินหมากได้สารพัด แถมยังคิดไปล่วงหน้าได้อีกหลายตาในลักษณะของ “what-if” analysis ด้วย

ข่าวดีก็คือ การคิดล่วงหน้าของคอมพิวเตอร์นั้นถูกจำกัดด้วยหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผล มันจึงอาจคิดมองไปข้างหน้าได้ “แค่ในระดับหนึ่ง”

สมมติคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งสามารถคำนวณล่วงหน้าได้ 4 ตาเดิน ก็หมายความว่า มันจะเช็คมาเรียบร้อยแล้วว่าภายใน 4 ตาเดินนี้ เราอาจเดินหมากตอบโต้กับมันอย่างไรได้บ้าง จากนั้นเครื่องก็จะเลือกเอา “ทางเลือกที่ดีที่สุด” สำหรับมันออกมา

หลายคนอาจเริ่มคิดขึ้นมาว่า อ้าว แล้วตาที่ 5, 6 หรือ 7 ล่ะ?…

ใช่แล้วครับ นั่นคือสิ่งที่คอมพิวเตอร์ “มองไม่เห็น” และนั่นก็คือ Horizon Effect หรือ ปรากฏการณ์ขอบฟ้า นั่นเอง ลองจินตนาการถึงตัวเราเองก็ได้ เราอาจขึ้นไปยืนบนยอดเขากวาดสายตามองไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไกลจนถึงขอบฟ้า เราเห็นทุกอย่าง … ยกเว้นสิ่งที่อยู่ถัดไปจากขอบฟ้า (horizon: อ่านว่า ฮอ-ไร-ซอน)

วิธีเอาชนะคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน หากเราวาง “กับดัก” เอาไว้ให้ไกลกว่าขอบฟ้า จากนั้นก็หลอกให้มันเดินเข้าไปติดกับได้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถคว่ำคอมพิวเตอร์ที่ใครๆ ประหวั่นพรั่นพรึงได้แล้ว

Horizon ในเกมหุ้น

ปรากฏการณ์ขอบฟ้ามีอยู่ในโลกของการลงทุนเช่นเดียวกัน นักเล่นหุ้นที่มองสถานการณ์วันต่อวันย่อมมี horizon ที่สั้น (เช่น 2-3 วัน) พวกเขาจะไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกลกว่านั้น ไม่ว่ามันจะใหญ่โตมโหฬารแค่ไหน หากมีข่าวร้ายออกมา เช่น แบงก์ชาติญี่ปุ่นเตรียมลดจำนวนเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ พวกเขาก็จะ “ตีความ” เอาง่ายๆ แค่ว่า มันเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวร้ายก็หุ้นลง … ขาย!

นักลงทุนที่มี horizon ยาวไกลกว่านี้อาจมองแนวโน้มที่ใหญ่ขึ้น พวกเขาดูภาพรวมของเศรษฐกิจ และถ้าเป็นบริษัทก็จะดูว่าแนวโน้มธุรกิจยังดีอยู่หรือไม่ แน่นอน พวกเขายังคงรับฟังข่าวสารเหมือนกับคนอื่นๆ เพียงแต่พวกเขา “ตีความ” ด้วยมุมมองและความใส่ใจที่แตกต่างออกไป และที่คนกลุ่มนี้มองเห็นสิ่งที่คนกลุ่มแรกไม่เห็น ก็เนื่องจากพวกเขามี horizon ที่ยาวกว่านั่นเอง

อาจพูดได้ว่า คนที่มี horizon ยาวกว่าย่อมมีความได้เปรียบเหนือคนที่มี horizon สั้น คิดเอาง่ายๆ สมมติผมจัดแมตช์หมากรุกให้คอมพิวเตอร์ 2 ตัวแข่งขันกัน ตัวหนึ่งมี horizon 4 ตาเดิน ส่วนอีกตัวมี horizon 20 ตาเดิน ไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่ไหมครับว่าคอมฯ ตัวหลังจะไล่ยำตัวแรกเละเทะขนาดไหน

ในทำนองเดียวกัน หากนักลงทุนที่มี horizon สั้นปะทะกับนักลงทุนที่มี horizon ยาว (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น) คนกลุ่มแรกก็จะหยิบฉวยผลประโยชน์สั้นๆ เมื่อหยิบได้มาแล้วก็เอาไปแจกจ่ายให้โบรกเกอร์ ส่วนที่เหลือเก็บไว้เองก็มีแค่เพียงเล็กน้อย บางครั้งพลาดไปโดน “กับดัก” ที่รออยู่ไกลกว่า horizon เท่าที่พวกเขามองเห็น ก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไป

ขณะที่นักลงทุนกลุ่มที่สองก็อาจหยิบฉวยผลประโยชน์ระยะสั้นด้วยเหมือนกัน แต่พวกเขาก็จะเลือกเฉพาะอันที่ไม่มีกับดักรออยู่ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเจ็บตัวก็มีน้อยลง นอกจากนี้การที่พวกเขามี horizon ที่ยาวไกลขึ้นก็เปิดโอกาสให้หยิบฉวยประโยชน์จาก “ภาพใหญ่” ได้ด้วย กล่าวคือ พวกเขาไม่ได้มองแค่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงในวันพรุ่งนี้ แต่มองภาพใหญ่ว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว อัตราภาษีต่ำ ผลประกอบการของบริษัทน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ และตามหลักเหตุผลแล้วราคาหุ้นก็น่าจะยังเป็นขาขึ้นต่อไป เป็นต้น

มิติอื่นของ Horizon

นอกจาก horizon ในมิติของเวลาแล้ว ยังมี horizon ในมิติอื่นๆ ที่เราควรคำนึงถึงอีกด้วย

ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่ง ได้แก่ horizon ในมิติของกลยุทธ์ บริษัทบางแห่งมีผลประกอบการดีมาอย่างต่อเนื่อง สินค้าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี มีสถานะทางการตลาดเข้มแข็ง ซึ่งนักลงทุนที่มี horizon สั้นๆ ก็จะเห็นแค่นี้

อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตอย่างน่าพอใจนั้น มีกุญแจหลักอยู่ที่ความร่วมมือทางธุรกิจ กล่าวได้ว่า ความร่วมมือกับพันธมิตรเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จอันนี้ และเมื่อเจาะลึกเข้าไปที่พันธมิตร เราอาจพบว่าพันธมิตรรายนี้กำลังดำเนินงานบางอย่างที่คล้ายคลึงกันกับบริษัทที่เราสนใจ และมีความเป็นไปได้ที่เขาจะ “เลิกความสัมพันธ์” และหันมาแข่งขันด้วยในอนาคต

นี่คือ “กับดัก” ที่อยู่ไกลกว่า horizon ของนักลงทุนบางราย และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องโดนดักตีหัวเข้าสักวัน หากว่ายังคงมองแค่สั้นๆ

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็น horizon ในมิติของผู้บริหาร บางบริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดูดี ผู้บริหารสูงสุดเป็นคนมีความสามารถ สุภาพ และจริงใจ เมื่อใดที่เขาออกงานสังคม ทุกคนก็ล้วนแต่ชื่นชม และก็ไม่แปลกหากนักลงทุนที่มี horizon สั้นๆ จะเห็นเพียงเท่านี้

ทว่านักลงทุนที่รอบคอบจะเจาะลึกลงไปถึงฝ่ายบริหาร “ทั้งทีม” พวกเขาคอยติดตามผู้บริหารท่านอื่นๆ ด้วยว่าใครรับผิดชอบอะไร ท่าทีของทีมบริหารเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ใครเป็นผู้มีอิทธิพลชี้นำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและเป็นความรู้ที่ต้องรวบรวมจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากการประชุมผู้ถือหุ้น งานพบปะนักลงทุน และการให้สัมภาษณ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ (แน่นอนว่าไม่มีในสรุปข้อมูลทางการเงิน หรือในบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์)

การที่เรารู้จักฝ่ายบริหารเป็นอย่างดีจะทำให้สามารถคาดเดาได้ว่า พวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร และการกระทำดังกล่าวจะส่งผลต่อบริษัทในแง่บวกหรือแง่ลบ หากผู้บริหารหลายคนเป็นพวกคร่ำครึหัวโบราณ พวกเขาอาจทำให้การบริหารงานของบริษัทฝืดกว่าที่ควร และนี่ก็เป็นกับดักที่คน horizon ยาวเท่านั้นที่จะเห็น

ไม่ใช่แค่ “มุมมอง” และ “ความรู้”

แม้มุมมองและความรู้จะเป็นตัวหลักที่กำหนด horizon ของเรา แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “อคติ” ที่เรามี ก็มีส่วนสำคัญในการกำหนด horizon ด้วย บางครั้งเราอาจพรั่งพร้อมด้วยความรู้และความสามารถ แต่มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราเต็มไปด้วยอคติ

คนเรามักเห็นอย่างที่อยากจะเห็น”

เพราะฉะนั้นถ้าเรามีจิตใจฝักใฝ่ไปแล้วว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้เป็นอย่างไร อคติของเราก็จะตามไปบิดเบือนการตีความและบั่นทอน horizon จนทำให้มองไม่เห็นระเบิดเวลาที่วางอยู่โต้งๆ เรามองไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็น!

ลองนึกทบทวนดูก็ได้ครับ ที่เราเคยเจ๊งหุ้นมาในอดีตเกิดจาก Horizon Effect กันบ้างหรือไม่

—————————