โกดัก กับ “ลาภมิควรได้” ของนักเก็งกำไร

Screen Shot 2020-08-07 at 11.31.07 AM

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช 

ข่าวหนึ่งซึ่งสื่ออเมริกันทุกสำนักให้ความสนใจในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คือกรณี “โกดัก” อดีตบริษัทผลิตฟิล์มและอุปกรณ์ถ่ายภาพชื่อก้องโลก กำลังจะได้รับเงินกู้ก้อนโตจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการผลิตส่วนผสมของยาที่ใช้กับ​โคโรนาไวรัส 

ใครๆ ก็รู้ว่าโกดักเป็นบริษัทผลิตฟิล์ม แล้วมาเกี่ยวข้องกับ “ยา” ได้อย่างไร?

อันที่จริง บริษัทแห่งสีสันรายนี้ หันมาทำธุรกิจผลิตส่วนผสมของยาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามทุกวิถีทางที่จะคัมแบ็กกลับมาให้ได้ หลังจากยื่นขอล้มละลายไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน

ครั้นเกิดการระบาดของโควิด-19 ก็มีข่าวตรงจากทำเนียบขาวว่าจะให้เงินกู้แก่โกดักเป็นจำนวนถึง 765 ล้านเหรียญ เพื่อการผลิต “ส่วนผสมของยา” สำหรับใช้ภายในประเทศ

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่า โกดักมี “เทคนิคในการผลิตที่ก้าวหน้า” และ “มีทั้งต้นทุนที่แข่งขันได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐอเมริกาลดการพึ่งพาส่วนประกอบของยาจากบริษัทต่างประเทศดังที่เป็นมาตลอด อันเป็นเหตุให้ราคายาสูงกว่าที่ควรจะเป็น

ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า นี่คือ “หนึ่งในดีลครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์วงการยาสหรัฐฯ” โดยบอกว่าโกดักคือ “หนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกัน” และ “ใครๆ ก็จำบริษัทนี้ได้”

ผลที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากข่าวนี้เปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ราคาหุ้นโกดักก็พุ่งกระฉูดจาก 2 เหรียญขึ้นไปถึง 60 เหรียญ ปรับตัวขึ้น “พันกว่าเปอร์เซ็นต์” ในเวลาเพียงสองวันทำการ

จากนั้น มีข่าวออกมาอีกครั้งว่า ดีลระหว่างรัฐบาลกับโกดักนั้นยังอีกยาวไกลกว่าจะเกิดขึ้น เพราะต้องมีการสอบทานกิจการ และเงินกู้ดังกล่าวยังต้องใช้ทรัพย์สินของบริษัทค้ำ จึงต้องประเมินมูลค่ากันเสียก่อน เรียกได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนที่ฟังจากปากทรัมป์เลย 

จากจุดสูงสุดที่ 60 เหรียญ หุ้นโกดักร่วงลงมาอย่างรุนแรง ก่อนจะยืนระยะอยู่แถวๆ 20 เหรียญช่วงสิ้นเดือน ก.ค. แต่แล้วก็ปรับลดลงมาแตะจุดต่ำสุดที่ 12.86 เหรียญในวันที่ 4 ส.ค. หลังมีข่าวว่า กลต.เตรียมเข้าไปสอบสวน กรณีที่ CEO ของบริษัทได้รับออปชั่นหุ้นในวันก่อนที่จะมีข่าวเรื่องเงินกู้

เรียกได้ว่าคนที่โดดเข้าไปเก็งกำไรมีอันต้องเจ็บตัวไปตามๆ กัน 

นักลงทุนคนหนึ่งเล่าให้วอลล์สตรีทเจอร์นัลฟังว่า เขาเข้าซื้อหุ้นโกดักหลังจากมีข่าวดีที่ราคา 17, 24 และ 52.5 เหรียญ เฉลี่ยต้นทุนอยู่ที่ 35 เหรียญ แต่แล้วพอหุ้นตกก็รีบขายตัดขาดทุน รวมๆ แล้วสูญเงินไป 95,000 เหรียญ (3 ล้านกว่าบาท)

เหตุการณ์ในช่วงเวลาเพียงสัปดาห์เดียวที่เล่ามานี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีของการเข้าไปเก็งกำไรหุ้นตามข่าวโดยไม่มีพื้นฐานกิจการรองรับ

จะว่าไป นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ แต่ครั้งนี้ หนึ่งในผู้ที่ปล่อยข่าวเป็นถึง ปธน.สหรัฐฯ ทำให้คนจำนวนมากตื่นเต้นและมองบวกเกินเหตุโดยไม่รอฟังรายละเอียด จนประสบกับความเสียหายในที่สุด

เพราะหวังกำไรจาก “ลาภมิควรได้” นั่นเอง


ข้อมูลประกอบจาก Wall Street Journal

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s