Unknown's avatar

About CheeChud

Founder and CEO of Club VI, Thailand's Investment Academy, Bestselling Author, Fanpantae Samkok

ก้าวต่อไปของ Meituan “ซุปเปอร์แอพ” แดนมังกร

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

อย่างที่เคยบอกไปแล้วในเพจเฟซบุ๊ก Club VI ว่า ผมตัดสินใจออกเดินทางไกลเพื่อภารกิจ “scuttlebutt หุ้น” โดยจะเขียนบทความเชิงลึกแนว investigative สำหรับหุ้นแต่ละตัวให้ได้อ่านกันเรื่อยๆ

วันนี้ผมได้นัดพบกับ “เจิ้น” อดีตผู้บริหารของ Meituan Dianping ซุปเปอร์แอพชื่อดังที่ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก ปัจจุบันเจิ้นย้ายมาอยู่ที่เยอรมนีเพื่อเรียน MBA และได้สละเวลาพูดคุยกับผม ทำให้ได้ทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับองค์กรแห่งนี้เยอะมากๆ 

เนื่องจากคุยกันค่อนข้างยาว ผมขอสรุปเฉพาะประเด็นหลักๆ ไว้ในที่นี้เป็นเบื้องต้นก่อนนะครับ หากมีโอกาสจะเอามาเล่าเพิ่มเติมในภายหลัง

  1. เจิ้นบอกว่า ตอนนี้ Meituan กำลังทำหน่วยธุรกิจใหม่ขึ้นมา ใช้ชื่อว่า “เซ่อชวีถวนโก้ว” (社区团购) โดยเน้นขายสินค้าเกษตร ของสด เช่น ผัก ผลไม้ ในเมืองรอง (หมายถึงเมืองที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ซึ่งทางจีนจัดอันดับเป็นเมือง tier 3, tier 4) คือให้ลูกค้าสั่งของผ่านทางแอพ Meituan และสามารถไปรับได้ที่ร้านขายผัก ร้านโชห่วย ใกล้บ้านได้ทันทีในวันรุ่งขึ้น (meituan มีโกดังทั่วประเทศอยู่แล้ว เมื่อมีออเดอร์เข้ามาก็แค่จัดส่งไปยังร้านรับของเท่านั้น)
  2. Meituan ได้ไปดีลกับพนักงานขายของร้านค้าในเมืองรองเหล่านั้น เพื่อให้เป็นตัวแทนของบริษัท ตัวแทนเหล่านี้จะเรียกว่า “ถวนโก้ว” ซึ่งล้วนเป็นชาวบ้านในท้องถิ่น ไม่ใช่พนักงานประจำ หน้าที่ของถวนโก้วคือให้ช่วยเชียร์สินค้าของ Meituan โดยจะได้รับส่วนแบ่ง 15% จากยอดขาย 
  3. ปัจจุบัน “เซ่อชวีถวนโก้ว” เป็นหน่วยธุรกิจที่ Meituan ถือว่า “สำคัญที่สุด” ในบรรดาทุกธุรกิจของบริษัทเวลานี้ ถึงขนาดตั้งกฏว่า หากพนักงานคนไหนอยากย้ายมาทำงานที่หน่วยนี้ก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหัวหน้า และจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่มีข้อแม้คือต้องทำงานวันเสาร์ด้วย จะเห็นได้ว่า Meituan ตั้งใจ “ทุ่มทุกอย่าง” จริงๆ เพื่อแย่งชิงตลาดนี้
  4. ใครที่ติดตามงานเขียนของผมมาตลอด (โดยเฉพาะใน My Value) คงพอทราบแล้วว่าใครที่ยึดครองตลาดนี้มาแต่เดิม คำตอบก็คือ “Pinduoduo” นั่นเอง โดย Pinduoduo เป็นผู้บุกเบิกการขายสินค้าเกษตรในเมืองรอง ซึ่งเป็นตลาดที่ยังไม่เคยมีใครเจาะมาก่อน จนทำให้บริษัทกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในบรรดา tech company ของจีน และนี่แหละคือคู่แข่งตัวใหญ่ที่สุดที่ Meituan กำลังท้าทาย
  5. เจิ้นบอกว่า ตอนนี้ใครๆ ก็อยากมาแย่งตลาด tier 3-4 เพราะคนที่นั่นยังเข้าไม่ถึงเน็ตอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะคนแก่ๆ ที่ยังชอบไปซื้อของที่ร้านด้วยความคุ้นเคยและเชื่อว่าราคาถูกกว่า ต่างจากคนในเมืองใหญ่ที่ซื้อของผ่านออนไลน์หมดแล้ว (สอดคล้องกับที่ผมย้ำมาตลอดว่า ใครบอกว่าคนจีนเข้าถึงอินเทอร์เนตหมดแล้วนั้นไม่จริงแน่นอน เพราะในเมืองรองๆ ยังมี penetration rate ต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ๆ)
  6. เจิ้นบอกว่า “จิงตง” (หมายถึง JD. com) ก็กำลังพยายามเข้ามาในเมืองรองเช่นกัน เพราะ JD ขยายตลาดในเมือง tier 1-2 ได้ยากมากแล้ว  (JD เน้นขายของแบรนด์ สินค้าไฮเอนด์ ตลาดหลักจึงเป็นเมืองใหญ่ๆ ตรงข้ามกับ Pinduoduo ที่ทำแบบ “ป่าล้อมเมือง” คือเริ่มจากเมืองรองและกำลังขยายเข้ามายังเมืองใหญ่)
  7. แม้แต่ meituan เอง ตัวเลข MAU (monthly active user หรือผู้ใช้ที่มีความเคลื่อนไหวต่อเดือน) ในเดือนหลังๆ ก็แทบไม่ขยับ ขณะที่เมืองรองยังมีโอกาสอีกมาก (เจิ้นย้ำถึงความสำคัญของตัวเลขนี้ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยว่านี่คือตัวเลขที่เป็นหัวใจสำคัญของบริษัทเทคเลยทีเดียว)
  8. เจิ้นย้อนความหลังงว่า เมื่อก่อน Meituan เริ่มจากการทำ food delivery แต่ตอนนี้เป็นแทบทุกอย่าง เป็นแอพเรียกแท็กซี่ เป็นโน่นเป็นนี่ และกำลังมุ่งที่จะเป็น marketplace เหมือน Alibaba เหมือนกับ Tencent ที่แต่เดิมทำวีแชท แต่ตอนนี้กลายเป็นซุปเปอร์แอพ มีทุกอย่างในแอพเดียว
  9. เจิ้นบอกว่า Meituan พร้อมขยายธุรกิจไปตามความต้องการของลูกค้า ลูกค้าต้องการอะไรก็พร้อมที่จะไปทำ เหมือน Amazon แต่เดิมขายหนังสืออย่างเดียว แต่ตอนนี้ทำหลายอย่างมาก แม้แต่คลาวด์ก็ยังทำ ซึ่ง Meituan ก็จะดำเนินไปในทางนั้น 
  10. เจิ้นบอกว่า Meituan ไม่กลัวที่จะขาดทุน ถ้าเห็นว่าโอกาสอยู่ที่ไหนก็พร้อมจะทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแย่งชิงตลาดมา (การเป็น fist mover จะได้เปรียบมาก ถ้าสร้างฐานลูกค้าไว้ได้มากๆ สุดท้ายคู่แข่งก็จะตามไม่ทัน บริษัทเทคทั้งหลายจึงยอมขาดทุนในช่วงแรกก็ด้วยเหตุผลนี้ นี่แทบจะเป็นปรัชญาของ tech company เลยก็ว่าได้) 
  11. อันนี้เด็ดมาก เจิ้นบอกว่า Meituan ตั้งเป้าว่าจะเป็นอย่าง Amazon ผมบอกเจิ้นว่าตรงข้ามกับ Alibaba เลย เพราะถ้าไปบอกคนของ Alibaba ว่าบริษัทของพวกเขาเป็น Chinese Amazon พวกเขาจะโกรธมาก เพราะเขาเชื่อว่าเขาเป็นมากกว่านั้น แต่เจิ้นบอกว่า Meituan ไม่ใช่อย่างนั้น บริษัทของเขาบอกชัดเลยว่าต้องการจะเป็น Amazon ของจีน
  12. เจิ้นบอกว่า พนักงาน Meituan จะมีแอพสำหรับสื่อสารกันในองค์กร ไม่ได้ใช้วีแชท (แน่นอนสิ ก็เป็นคู่แข่งกันอยู่ ไปใช้ของคู่แข่ง (หมายถึง Tencent) เดี๋ยวความลับรั่วไหล)
  13. ผมถามเจิ้นว่า เรื่องที่รัฐบาลจีนเข้ามา crackdown บริษัทเทค เขามองยังไง เจิ้นบอกว่าเขามองเป็นเรื่องที่ดี จะได้จัดระเบียบกันใหม่ให้ประชาชนได้ประโยชน์ แม้ว่าราคา Meituan จะลงมาเยอะมาก แต่ที่ผ่านมามันก็ขึ้นไปเยอะแล้ว ปรับลงมาก็ไม่แปลก (ในฐานะนักลงทุน เจิ้นมองว่าเป็นโอกาสซื้อด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากให้มีการเชียร์หุ้นในข้อเขียนนี้ จึงไม่ขอให้ความเห็น และขอความกรุณาอย่าสนใจในประเด็นนี้นะครับ)
  14. เจิ้นบอกว่า คนที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารผู้บริหารระดับสูงของ Meituan ได้ คือคนของ “หวัง ซิง” (CEO ของ Meituan) คนเหล่านี้บ้างก็เป็นศิษย์ร่วมสถาบัน หรือเป็นพรรคพวกของหวังซิง แต่ถ้าไม่ใช่ สูงสุดคือเป็นได้แค่ผู้บริหารระดับกลาง

ทั้งหมดนี้คือประเด็นหลักๆ ที่ได้จากการคุยกับเจิ้น ที่จริงยังมีรายละเอียดอีกมาก เอาไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ 

ผมยังมีงานเขียนเขิงลึกเช่นนี้อีกมาก ในแพลน My Value ที่จะให้แนวทางในการลงทุนหุ้นต่างประเทศกับทุกท่าน ท่านใดสนใจข้อเขียนเชิงลึกเช่นนี้ ซึ่งจะมีตามมาอีกมาก นอกเหนือจากที่โพสต์ให้อ่านฟรีในเพจ คลิกได้ ที่นี่ ครับ

“หุ้นเด้ง” ตัวล่าสุดของผม กับเหตุผลที่ต้องเจอ “หุ้นดี” ก่อนที่จะ “ดัง”

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ช่วงต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ผมเจอหุ้นตัวหนึ่งขณะกำลังอ่านเว็บไซต์การเงิน เป็นหุ้นเทค-ไฟแนนซ์ ซึ่งมีโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจมากๆ ราคาขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 165-170 USD ต่อหุ้น

บริษัทนี้ชื่อ “Upstart” ชื่อย่อ UPST อยู่ในดัชนี Nasdaq

ผมตัดสินใจที่จะหาข้อมูลให้ลึกลงไปในเว็บข่าวการเงินของต่างประเทศทั้งหมดที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ ก่อนจะพบว่าธุรกิจนี้ “โคตรเจ๋ง” ยิ่งกว่าที่ผมคิดไว้เบื้องต้นเสียอีก

เนื่องจากบทความนี้ไม่ได้ตั้งใจมาแนะนำบริษัท จึงขอสรุปแบบกระชับว่า Upstart Holdings Inc. เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม AI ที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยแบงก์และสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ โดยช่วยให้ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถลดความเสี่ยงและลดต้นทุนลงได้

ผมอ่านต่อไปเรื่อยๆ และพบว่า ผู้ก่อตั้ง Upstart คือ เดฟ จีราวอาร์ด อดีตผู้บริหารของกูเกิล โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากทำแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมาก็เพราะเล็งเห็นว่า ธนาคารทั่วไปมักใช้โมเดลแบบดั้งเดิมในการอนุมัติสินเชื่อและกำหนดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแม้จะง่ายและชัดเจน แต่กลับจำแนกความเสี่ยงได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ข้อเท็จจริงก็คือ คนอเมริกันถึง 4 ใน 5 ที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลย แต่มี credit score ต่ำ เช่น เป็นฟรีแลนซ์ มีรายได้ไม่เป็นหลักแหล่ง กลับไม่สามารถกู้เงินได้ หรือแม้จะกู้ได้ ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงมาก เช่น หากจะซื้อรถก็อาจต้องจ่ายดอกถึง 20-25% เมื่อเทียบคนที่ทำงานประจำหรือทำงานอยู่กับหน่วยงานของรัฐ

ด้วยเหตุนี้ เดฟจึงทำ Upstart ขึ้นมาเพื่อแก้ paint point ดังกล่าว โดยใช้เทคโนโลยี AI ในการช่วยธนาคารและสถาบันการเงินจำแนกผู้กู้ ผลก็คือ ธนาคารที่ใช้แพลตฟอร์มของ Upstart สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยมีความเสี่ยงน้อยลง

ฝั่งผู้ใช้ก็ยิ่งแฮปปี้ เพราะกู้ได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพง อีกทั้งแพลตฟอร์มของ Upstart ยังมีลักษณะที่เรียกว่า user-friendly คือหน้าตาน่าใช้งาน 

สถิติที่ผมค้นได้ในขณะนั้น คือแพลตฟอร์มของ Upstart ช่วยให้คนที่ได้รับอนุมัติเงินกู้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 26% และต้นทุนในการกู้ (หมายถึงดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และอื่นๆ) ลดลง 10%

โดย Upstart จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากธนาคาร คือยิ่งแบงก์ปล่อยกู้ได้มาก ก็ต้องแบ่งให้ Upstart มากขึ้นด้วย ซึ่งผมมองว่าเป็นโมเดลที่ดีที่สุดแล้ว ไม่เหมือนกับการคิดค่าบริการในการใช้แพลตฟอร์มซึ่งรายได้จะคงที่

โดยภาพรวมแล้ว ถือได้ว่า Upstart เป็นธุรกิจที่เข้ามาปลดปล่อยผู้คนในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุนส่วนบุคคลอย่างแท้จริง

เมื่อได้ข้อมูลอย่างนี้แล้ว ผมจึงทำเหมือนที่ทำทุกครั้ง คือเช็ค “valuation” และพบว่าราคาหุ้น UPST ยังต่ำกว่า fair value อยู่พอสมควร

ผมจึงตัดสินใจที่จะศึกษาต่อในเชิงลึกไปถึง “ผลประกอบการ” และ “งบการเงิน” ก่อนจะพบว่าตัวเลขทุกตัว “ผ่านหมด” โดยชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าธุรกิจนี้กำลังอยู่ในเฟซของการเติบโต

และเมื่อดู “market cap” ก็พบว่าอยู่ที่ 12,000 ล้าน USD เท่านั้น ถือว่ายังเล็กมากๆ ขณะที่รายได้แม้จะโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เวลานั้นก็ยังไม่ถึง 300 ล้าน USD

ที่สำคัญที่สุดคือ เป็นบริษัทที่มี “กำไร” เมื่อเทียบกับเทคคอมพานีจำนวนมากที่ยังจมลึกอยู่กับผลขาดทุน

เมื่อประกอบกับนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม และตลาดที่ยังไม่เคยมีใครย่างก้าวเข้ามา มองมุมไหนก็ต้องยอมรับว่ารันเวย์ของบริษัทนี้ยังอีกยาวไกลมากๆ

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจเข้าซื้อ UPST ในวันจันทร์ที่ 7 มิ.ย. ด้วยต้นทุน 169 USD และเขียนถึงหุ้นตัวนี้ไว้ในแพลน My VALUE ของ Club VI เพื่อให้สมาชิกได้รู้จัก แต่ก็ย้ำกับทุกคนเหมือนที่ย้ำทุกครั้งว่า นี่เป็นเพียงการให้ข้อมูล ไม่ใช่การแนะนำให้ซื้อ โดยชี้ให้เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงประกอบกันไป

ทว่าหลังจากนั้น ราคาหุ้น UPST กลับปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว โดยลงไปต่ำสุดที่ประมาณ 117 USD ลดลงกว่า 30% จากจุดที่เข้าซื้อครั้งแรก 

ด้วยความสงสัย ผมจึงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่าเหตุที่ราคาร่วงลง ปัจจัยสำคัญเกิดจากการที่หุ้นเพิ่งพ้นจาก lockup period คือช่วงเวลาที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่สามารถขายหุ้นทิ้งได้หลังจาก IPO ทำให้เกิดแรงเทขายออกมาอย่างหนัก และแม้จะมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีการปรับ guidance รายได้ แต่ดูอย่างไรก็ไม่พบว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ 

เมื่อเห็นเป็นโอกาสเช่นนั้นแล้ว ผมจึงตัดสินใจเก็บหุ้นเพิ่ม และทยอยซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้นทุนสุทธิลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 129 USD

เวลาผ่านมาประมาณ 2 เดือน พอเข้าสู่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม หลังจากราคาจมจ่อมอยู่นาน มันก็เริ่มดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากผลประกอบการที่โดดเด่นมากๆ โดยเฉพาะ Q2/2021 ที่ “รายได้” เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% YoY ขณะที่ “กำไร” ก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

แม้จะดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ถ้าใครได้อ่านข้อมูลเหมือนที่ผมอ่านก่อนเข้าซื้อมันในทีแรก ก็จะพบว่าผลการดำเนินงานที่ออกมานี้แม้จะน่าประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเกินความคาดหมายเสียทีเดียว

ปัจจุบัน ราคาหุ้น UPST ยังวิ่งอย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นไปสูงสุดที่ 346.54 USD ก่อนจะปรับตัวลงมาเล็กน้อย ขณะที่เขียนอยู่นี้ราคาอยู่ที่ 333 USD

นั่นทำให้จากต้นทุน 129 USD ของผม หุ้นตัวนี้ถือว่า “เด้ง” ขึ้นมาแล้วกว่า “หนึ่งเด้งครึ่ง” หรือมากกว่า 150% ภายในเวลาเพียงประมาณ 4 เดือน

ถามว่า ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาทำไม เพื่อ “ขิง” ว่าตัวเองลงทุนเก่ง ได้หุ้นเด้งหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่เลย และไม่ได้เขียนเพื่อแนะนำหุ้นด้วย เพราะปกติก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว (และอันที่จริง ก็ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่ผมลงทุนแล้วมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด)

จุดประสงค์หลักที่ผมเขียนบทความน้ีขึ้นมา ข้อแรกเลย คือเพื่อต้องการอธิบายให้เห็นถึงวิธีการวิเคราะห์หุ้นของผมก่อนจะเข้าลงทุน ว่ามีขั้นตอนอะไรอย่างไรบ้าง เพื่อให้ท่านสามารถประยุกต์ไปใช้ได้หากต้องการ (แม้จะอธิบายได้เพียงพอสังเขปก็ตาม)

ข้อที่สองก็คือ เพื่อสรุปเป็นบทเรียนแก่ทุกท่านว่า เวลาเราเข้าลงทุนในหุ้นบางตัว แล้วราคาของมันเกิดปรับลดลงอย่างรุนแรง เราควรนำปัจจัยพื้นฐานของมันมาพิจารณาซ้ำอีกครั้ง หากพื้นฐานเปลี่ยนแปลง หรือมีบางสิ่งที่เรายังไม่รู้ หรือเราวิเคราะห์ผิดไปเอง ก็อาจจำเป็นต้องขายมันทิ้ง แต่หากพบว่าพื้นฐานยังคงเดิม การขายทิ้งย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ควรกระทำแต่อย่างใดทั้งสิ้น การอยู่เฉยหรือซื้อเพิ่มเท่านั้น จึงเป็นทางเลือกที่พึงกระทำ

และบทเรียนสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ เราต้องหาให้พบ “หุ้นดีๆ” ก่อนที่มันจะ “ดัง” 

ในเวลาที่หุ้น Upstart ร่วงเอาๆ นั้น เพจหุ้นต่างๆ ของไทย ตลอดจนสื่อออนไลน์ของสถาบันการเงินต่างๆ แทบไม่มีใครเขียนถึงหุ้นตัวนี้ แต่หลังจากราคาวิ่งขึ้นมาเยอะมาก มันก็เริ่มถูกเขียนถึงมากขึ้นเรื่อยๆ

หากท่านได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นตอนที่หุ้นมัน “ดัง” ขึ้นมาแล้ว ท่านจะสามารถเข้าลงทุนได้หรือไม่? ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากการที่ราคาของมันปรับตัวขึ้นมากว่า 1,500% จากเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หรือหากนับจากที่ผมเข้าซื้อครั้งแรก คือกลางเดือนมิถุนายนปี 2021 ก็ขึ้นมาแล้ว กว่า 100%

นี่คือเหตุผลที่เราต้องหาให้พบ “ซุปเปอร์สต็อค” ก่อนที่มันจะ “ถูกเอ่ยถึง” ไม่ใช่เวลาที่มัน “ดังแล้ว” และใครๆ ก็เขียนถึงมัน ซึ่งเป็นไปได้สูงมากๆ ว่า โอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุนได้ผ่านพ้นไปแล้ว

เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่อยากสร้างความมั่งคั่งจากหุ้นต่างประเทศ ขอให้ท่านหาข้อมูล ทำการบ้านด้วยตนเองแบบ “เชิงรุก” คือหาไปเรื่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ อย่าหยุด ไม่ต้องรอให้ใครมาเชียร์ มาเขียนถึง

เราหาเองก่อนเลย

และถ้าเจอหุ้นที่ดี มีโมเดลที่น่าสนใจ ก็อย่าลังเลที่จะเจาะลึกลงไปจนรู้จักมันอย่างทะลุปรุโปร่ง

หากทำเช่นนี้ได้ ท่านก็มีโอกาสพบ “หุ้นดี” ก่อนที่จะมันจะ “ดัง” และ “เด้ง” เหมือนกรณีศึกษาที่ผมยกมาเป็นตัวอย่าง (ย้ำครั้งสุดท้ายว่าเพื่อเป็นตัวอย่างเท่านั้น) ในที่นี้

และสำหรับท่านที่อยากร่วมหา “หุ้นนอกดีๆ” ก่อนที่มันจะ “ดัง” ไปกับผมและทีมงาน Club VI แนะนำสมัคร My VALUE แพลนการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ที่จะช่วยให้ท่านตะลุยหุ้นนอกได้อย่าง “มั่นใจ” และ “แม่นยำ” ยิ่งกว่าเดิม คลิก ที่นี่ ครับ


Disclaimer : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อเขียนนี้ไม่ใช่การชักชวนให้ซื้อหรือขายหุ้น เป็นเพียงการให้ข้อมูลในอดีตเพื่อเป็นความรู้เท่านั้น

BEATNIQ : Live the Notable Life

(Advertorial by Club VI)

ช่วงโควิด-19 ผู้คนไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก จึงใช้เวลากับ “บ้าน” หรือ “ที่อยู่อาศัย” มากขึ้นกว่าเดิม คนที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองก็อยากมีบ้าน ใครที่มีบ้านอยู่แล้ว ก็อยากทำให้บ้านของตัวเองน่าอยู่มากขึ้น

การลงทุนกับ “บ้าน” และ “ที่อยู่อาศัย” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้

โดยส่วนตัว ผมชอบอยู่ “คอนโดมิเนียม” ครับ เนื่องจากสะดวก ดูแลง่าย ปลอดภัย แต่ด้วยความเป็น “นักลงทุน” หากจะเลือกซื้อคอนโดฯ สักแห่ง นอกจากต้องอยู่สบาย มีทุกสิ่งครบครันแล้ว 

สำคัญที่สุดคือต้องเหมาะสำหรับ “การลงทุน” ปล่อยเช่าได้ “ง่าย” และ “เร็ว”

ผมเพิ่งได้รู้จักคอนโดมิเนียมโครงการหนึ่ง … ชอบมากๆ 

“Beatniq” คอนโดมิเนียมระดับ luxury โดย SC Asset อยู่ริมถนนสุขุมวิท ใกล้ BTS ทองหล่อเพียง 250 เมตร

ด้วยรูปแบบห้องที่เน้นการใช้งานและดีไซน์อันลงตัว มาพร้อมวิวแบบ “โล่งทุกทิศ” ไม่มีอะไรบดบังสายตา อีกทั้งการออกแบบภายนอกและภายในก็ “สวย” แปลกตา 

การอยู่อาศัยที่นี่ จึงให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจาก “บ้าน” 

พิเศษที่สุด คือบริการ Concierge Service เสมือนผู้ช่วยส่วนตัวระดับมาตรฐานโรงแรม

ทั้งหมดที่กล่าวมา อยู่ในระดับราคาเพียง “สองแสนนิดๆ” ต่อตารางเมตร ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้ว สำหรับคอนโดฯ ใหม่ระดับ luxury บนทำเลนี้

ใครที่กำลังมองหาคอนโดฯ ดีๆ แนะนำโครงการนี้มากๆ ครับ และถ้าอยากซื้อเพื่อ “ลงทุน” อยากให้ลองพิจารณาห้อง“Penthouse” 166 ตารางเมตร ที่ demand กำลังมา และบอกได้เลยว่า “rare” สุดๆ 

ตอนนี้เหลือเพียง “ห้องเดียว” เท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ Penthouse Pool Villa 200 ตารางเมตร เพิ่งจะขายออกไป

หรือจะเป็นห้อง Junior Penthouse ก็น่าสนใจ ตัวห้องมีความสูงถึง 5.6 เมตร  บวกกับ Master Bedroom ขนาดใหญ่เรียกได้ว่าปลอดโปร่งโล่งสบายหายห่วง เช่นเดียวกับ 2-Bedroom ที่น่าอยู่ไม่แพ้กัน ขณะนี้มีผู้จองซื้ออย่างรวดเร็วหนึ่งในนั้นคือ “ห้องแต่งครบ” ขนาด 107 ตารางเมตรที่เพิ่งขายไป ตกแต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Karl Lagerfeld 

ทั้งหมดนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ตลาดคอนโดฯ luxury ยังมี demand ตลอด ซื้อง่าย ขายคล่องเหมาะสำหรับการลงทุน

ที่สำคัญ ทั้งอาคารมีเพียง 197 ยูนิต ไม่แออัด-พลุกพล่าน ส่วนกลางพร้อมสรรพ ประกอบกับ Concierge Service ระดับโรงแรมที่ได้กล่าวไป ก็ยิ่งเป็นหัวใจที่ช่วยให้ property มี value ยิ่งขึ้น

นักลงทุนอย่างเราๆ หากสนใจมองไว้เป็นทางเลือกเพื่อให้เงินงอกเงย อยากให้รีบไปดูกัน ของดีมีอีกไม่มาก นัดเข้าไปชมส่วนตัวได้เลยที่ลิงค์นี้ https://lin.ee/3GVztBsNX หรือโทร 1749

ข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้ที่นี่ https://m.scasset.com/4v8-

หุ้นไทยไม่ไปไหน .. ลองมองคอนโดฯ หรูไว้ลงทุนกันนะครับ