โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
นอกจากจะเป็น “สุดยอดนักลงทุน” แล้ว วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเป็น “สุดยอดนักบุญ” อีกด้วย เห็นได้จากโครงการการกุศลอันยิ่งใหญ่ของเขา
เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนจดจำกันทั้งโลก คือการที่ปู่ประกาศให้คำมั่นว่าจะบริจาคทรัพย์สิน 99 เปอร์เซ็นต์ให้การกุศล ซึ่งปู่เรียกว่า Philanthropic Pledge หรือ “สัญญามหากุศล”
คิดดูก็แล้วกันนะครับ มี 100 ยอมให้ 99 จะมีใครที่ “ใจใหญ่” ได้เท่านี้อีก
นอกจากนี้ แกและ บิล เกตส์ ยังช่วยรณรงค์โน้มน้าวมหาเศรษฐีทั่วโลกให้ทำอย่างเดียวกัน จนมีคนมาร่วมอุดมการณ์อยู่พอสมควร ไม่เว้นแม้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ที่ตกลง “ตามรอยบุญ” ของปู่ ด้วยการให้คำมั่นว่าจะมอบทรัพย์สิน 99 เปอร์เซ็นต์เพื่อ “ช่วยโลก” เช่นกัน
ไม่เพียงแค่นั้น ปู่ยังเคยออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเก็บภาษีคนรวยให้มากขึ้น หรือที่ถูกขนานนามว่า “Buffett Rule” โดยออกแถลงการณ์ค่อนแคะว่า รัฐบาลดูแลพวก “1 เปอร์เซ็นต์” อันหมายถึงคนรวยในระดับยอดพิระมิดราวกับเป็น “สัตว์ป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์” แต่เก็บภาษีคนชั้นกลางและคนรายได้น้อยเป็นเเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่ามาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเลย
จะเห็นได้ว่า ปู่ทุ่มเทพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน ในการช่วยเพื่อนร่วมโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม มีคนออกมาแซะปู่เหมือนกันว่า ถ้าอยากเสียเงินนัก ทำไมไม่เขียนเช็คให้รัฐบาลซะเลย ไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหวให้วุ่นวาย ซึ่งผมมองว่า เป็นความคิดแบบตื้นเขิน ไม่มองให้ลึกซึ้ง คิดแต่จะด่าคนอื่น
ลองคิดดูนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าปู่เขียนเช็คให้เงินรัฐบาลไปในทันที
ข้อแรก ปู่ก็จะบริจาคได้แค่ “เงินสดในมือ” ไม่สามารถบริจาค “หุ้นเบิร์คเชียร์” ซึ่งมีมูลค่ามากมายมหาศาลยิ่งกว่าได้ ข้อสอง เงินที่บริจาคไป ให้แล้วก็จบกัน ไม่เหมือนการที่แกเก็บหุ้นกับตัวเองไว้ก่อน ให้หุ้นนั้นเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยฝีมือการลงทุนของแก แล้วค่อยๆ ผ่องถ่ายหุ้นให้การกุศลทีละก้อน (ซึ่งเป็นสิ่งที่แกทำอยู่)
ข้อที่สาม หากแกเขียนเช็คใบเดียวแล้วจบ ทุกอย่างก็จะจบลงแค่นั้น รัฐบาลจะไม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว เมื่อเทียบกับการขึ้นภาษีคนรวย ที่เป็นการกำหนด “กฏใหม่” อันจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต และสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้ดีขึ้นด้วย
บทเรียนที่เราน่าจะได้รับ จากกรณีที่มีคนออกมาแขวะปู่ในเรื่องการทำการกุศลก็คือ ทุกครั้งที่เราทำสิ่งดีๆ ย่อมจะมีคนค่อนขอดเสมอ หากเราไปฟังหรือหวั่นไหวไปตามคำคนเหล่านั้น สุดท้ายก็คงไม่ได้ทำอะไรกันพอดี
เพราะฉะนั้น เมื่อคิดจะทำสิ่งดีๆ จงวางแผนให้ดี ให้เป็นไปตามกำลังของตัวเอง แล้วทำเลย อย่าลังเล อย่ากลัวใครต่อว่า
โลกนี้จะดีขึ้น เมื่อคนที่มี “หัวใจอันยิ่งใหญ่” ตัดสินใจลุกขึ้นมาทำ “สิ่งที่ยิ่งใหญ่” … เหมือนที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำให้โลกทั้งโลกดูเป็นตัวอย่างนั่นเอง