20 วรรคทองล่าสุดจากปาก ชาร์ลี มังเกอร์

เรียบเรียงโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมอ่านเว็บไซต์ Business Insider เจอวรรคทองของชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ซึ่งไปพูดที่ ​California Institute of Technology เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 2020 ผ่านมา

โดย มังเกอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและมือขวาของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ และฝากไว้ด้วยข้อคิดคมๆ มากมายตามสไตล์ ผมสรุปมาให้อ่านกันเป็นข้อๆ รวม 20 ข้อ ดังนี้ครับ

  1. “เห็นได้ชัดมากๆ เลยว่าความได้เปรียบในระยะยาวที่คนอย่างเราๆ ได้รับจากการพยายามไม่โง่อยู่เสมอ แทนที่จะพยายามฉลาดอยู่เสมอนั้นมากมายเพียงใด”
  2. “มีกิจกรรมบ้าๆ เกิดขึ้นในสนามการลงทุนมากมาย เกือบทุกคนที่เฉลียวฉลาดต่างถูกเงินดูดเข้าไปในสนามการลงทุน แต่ผมไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย ผมไม่คิดว่าเราอยากเห็นคนทั้งโลกดิ้นรนไขว่คว้าหาความรวยด้วยการพยายามเอาชนะคนอื่นๆ”
  3. “เทคโนโลยีเป็นนักฆ่า พอๆ กับที่เป็นโอกาส”
  4. “เบิร์คเชียร์เป็นเจ้าของ เบอร์ลิงตัน นอร์ธเทิร์น เรลโร้ด คุณคงนึกแทบไม่ออกเลยว่าจะมีธุรกิจไหนที่เชยได้มากกว่าธุรกิจรถไฟ ก็ไอ้บ้าที่ไหนล่ะจะมาสร้างรางรถไฟสำหรับขนของ เราทำอย่างนี้จนสำเร็จ ไม่ใช่ด้วยการเอาชนะการเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง”
  5. “ผมคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเคยทำผิดพลาดอะไรมาแล้วบ้าง โดยพยายามทำทุกสิ่งให้เรียบง่ายและพื้นๆ ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผมก็ชอบคอนเซ็ปต์ทางวิศวกรรมของส่วนต่างแห่งความปลอดภัย ผมเป็นนักคิดประเภทชอบขวางและชอบปะทะ ทั้งหมดก็เพื่อพยายามและหลีกเลี่ยงที่จะไม่โง่เท่านั้นเอง”
  6. “สิ่งสำคัญที่สุดสิ่งเดียวที่คุณต้องการ คือหลีกเลี่ยงไม่ทำผิดพลาดแบบโง่ๆ รู้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากเพราะความคิดของมนุษย์มักหลอกตัวเองว่าเราฉลาดว่าที่เราเป็น”
  7. “สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำในธุรกิจค้าปลีกคือการแข่งกับคอสก์โก”
  8. “สิ่งที่บัฟเฟตต์และผมทำ คือเราซื้อสิ่งที่มีอนาคต บางครั้งเราอาจจะมีแรงหนุนจากเศรษฐกิจ บางครั้งเราอาจจะเจอแรงต้าน แต่เราก็ว่ายน้ำต่อไปเรื่อยๆ นี่แหละคือระบบของเรา”
  9. “คุณไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิตได้ถ้าไม่ทำอะไรยากๆ แล้วผิดพลาดเสียบ้าง มันคือธรรมชาติของเกม และคุณคงไม่มีวันที่จะกล้าพอ ถ้าคิดแต่จะหลีกเลี่ยงทุกสิ่งซึ่งไม่เป็นไปอย่างที่คิด”
  10. “ผู้คนมากมายโดดเข้าไปร่วมวง ความบ้าคลั่งนั้นมากมายเหลือเกิน ระบบผลตอบแทนก็แสนโง่เง่า ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลตอบแทนจะลดลงเอง (พูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะนี้)”
  11. “เราว่ายอยู่ในสายน้ำที่ไม่เคยมีใครแหวกว่ายมาก่อน ไม่เคยมีใครมาถึงจุดนี้ด้วยเงินที่ปริ๊นท์ออกมามากมายขนาดนี้ และลากยาวมาได้นานขนาดนี้โดยยังไม่เจอปัญหาอะไรเลย เราเล่นกับไฟมาจนถึงจุดที่อันตรายแล้วจริงๆ” (พูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะนี้)
  12. “ผมยังจำได้ว่าเคยกินมื้อเย็น เป็นฟิเลมิยองเสิร์ฟห้าคอร์สราคาแค่ 60 เซนต์ที่โอมาฮาสมัยยังเด็ก โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
  13. ไม่มีใครรู้หรอกว่าฟองสบู่จะแตกเมื่อไร แต่การที่มันคือตลาดแนสแด็ค ไม่ได้แปลว่ามันจะมีอย่างนี้เกิดขึ้นอีกในเร็ววัน ที่เป็นอยู่นี่มันเหลือเชื่อสุดๆ ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย” (พูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะนี้)
  14. “ลองนึกดูสิว่า Apple มีมูลค่าเท่าไร เมื่อเทียบกับอาณาจักรของจอห์น ดี ร็อคกีเฟลเลอร์ นี่คือสิ่งที่เหนือจริงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลกการเงินจริงๆ”
  15. ใครจะไปคิดล่ะว่าพวกคอมมิวนิสต์ไม่กี่คน ที่บริหารโดยพรรคๆ เดียว จะสร้างสถิติการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
  16. “ผมคิดว่านักลงทุนระดับเซียนมีความคล้ายกับนักเล่นหมากรุกในระดับหนึ่ง คือแทบจะเกิดมาเป็นนักลงทุนเลยก็ว่าได้”
  17. “คุณต้องรู้ให้มากเข้าไว้ แต่ส่วนหนึ่งมันเป็นเรื่องของอารมณ์ ส่วนหนึ่งมันคือการอดทนรอสิ่งที่อยากได้ คุณต้องพร้อมที่จะรอ การลงทุนที่ดีต้องอาศัยทั้งความอดทนและความกล้า ซึ่งมีคนไม่มากนักหรอกที่จะมีสองสิ่งนี้ ทั้งยังต้องรู้จักตัวเองเป็นอย่างดีว่าคุณรู้มากแค่ไหนและยังไม่รู้อีกมากแค่ไหน คุณต้องรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง คนฉลาดจำนวนมากคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าที่เป็นจริง ซึ่งแน่นอนว่าทั้งอันตรายและก่อปัญหา”
  18. “สิ่งที่ช่วยทุกคนได้ คือการเกาะไปกับอะไรที่กำลังขึ้น มันจะลากคุณขึ้นไปเองโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรมากนัก”
  19. “ถ้าคุณไล่ล่าหางานโดยมีความคลั่งไคล้ มันก็น่าจะเวิร์กกว่าการที่ไม่มีความคลั่งไคล้อะไรเอาเสียเลย ลองดูวอร์เรน บัฟเฟตต์ สิ เขามีความสนใจระดับคลั่งไคล้ในการลงทุนมาตั้งแต่ยังเด็กมากๆ แล้วเขาก็ลงทุนทีละเล็กละน้อยเรื่อยมา สุดท้ายจึงค้นพบวิธีทำมันให้ดี”
  20. “ผมไม่ได้ภูมิใจกับการทำการกุศลของตัวเองมากนัก ผมมองว่ามันคือหน้าที่ขั้นต่ำสุดของคนที่ประสบความสำเร็จที่จะต้องรู้จักให้ ผมไม่คิดว่าควรคุณจะได้แต้มบุญใดๆ จากการกุศลที่คุณทำ”

ภาพประกอบโดย Nick : https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=75743370

ข้อมูลประกอบจากเว็บ Business Insider โดย Theron Mohamed

วีไอไม่ง้อหุ้นเทคได้หรือไม่?

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ในยุคสมัยของหุ้นเทคเช่นทุกวันนี้ เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นว่า วิธีลงทุนแบบวีไอยังใช้ได้หรือไม่ เรื่องนี้ โมนิช ปาบราย “วีไอดันโด” ได้ให้คำตอบไว้ โดยบอกเล่าเรื่องราวของ ชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานบริษัท เบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ เพื่อนคู่หูของ วอร์เรน บัฟเฟตต์

ปาบรายเล่าว่า ชาร์ลี มังเกอร์ อ่านบาร์รอน (Barron’s) วารสารการลงทุนชื่อดังมาตั้งแต่ยังหนุ่ม โดยในแต่ละฉบับของบาร์รอน จะมีไอเดียธุรกิจที่น่าลงทุน 5-10 ไอเดีย

เวลาผ่านมา 50 ปี เขาอ่านบาร์รอนมาแล้ว 2,500 ฉบับ อ่านไอเดียธุรกิจในบาร์รอนมาแล้วร่วม 25,000 ไอเดีย แต่ไม่เคยลงมือเลยสักครั้ง เพิ่งมาลงมือกับไอเดียหนึ่งเดียวเมื่อไม่นานมานี้ ในปี 2002

เป็นหุ้นที่ชื่อ Tenneco (TEN) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา

ย้อนไปตอนที่มังเกอร์เข้าซื้อ บริษัทนี้กำลังแย่ หุ้นตกลงไปเหลือ 1.60 เหรียญ ก่อนจะพลิกฟื้นและพุ่งกระฉูดขึ้นไปถึง 55 เหรียญ พอถึงปี 2004-5 เขาได้กำไรจาก Tenneco ประมาณ 8 เด้งกว่า

มังเกอร์ขาย Tenneco ไปที่ราคา 15-20 เหรียญ แม้จะดูเหมือนน่าเสียดาย แต่เงินที่ปู่มังก์ใส่ลงไป 10 ล้านเหรียญ ได้กลายเป็น 80 ล้านเหรียญในเวลาแค่ 2-3 ปี ถือว่าน่ามหัศจรรย์มากๆ

(ต่อมา มังเกอร์เอาเงินก้อนเดียวกันนี้ไปลงทุนกับ หลี่ ลู่ นักลงทุนและผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ชาวจีน (ซึ่งเป็นผู้แนะนำ BYD บริษัทผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าให้ทั้งมังเกอร์และบัฟเฟตต์ได้รู้จัก) ก่อนที่หลี่จะทำให้เงินก้อนนั้นทวีมูลค่ากลายเป็นประมาณ 500 ล้านเหรียญ)

ที่น่าสนใจก็คือ สตอรี่นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในยุค 60 เหมือนกับ success story จำนวนมากของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่เกิดขึ้นในยุคของพวกเรา เป็นการลงทุนในหุ้น “ก้นบุหรี่” คือราคาถูกสุดๆ และเป็นธุรกิจ “ยุคเก่า” ตามตำราวีไอแท้ๆ ไม่ได้เกาะกระแส tech stock ไม่ได้ลงทุนในหุ้นอย่าง Google หรือ Amazon ซึ่งเติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน

ปาบรายบอกว่า ความสำเร็จนี้เกิดจากองค์ประกอบสามประการ หนึ่งคือ ความอดทนสุดขั้ว (กล้าอ่านหนังสือ 50 ปีโดยไม่ลงมือ) สองคือ ความกล้าตัดสินใจสุดขั้ว (กล้าซื้อหุ้นในเวลาที่หุ้นเผชิญวิกฤตสุดๆ) และสามคือ การมุ่งหวังของถูกแบบสุดขั้ว (ไม่ถูกจริงๆ ไม่ซื้อ)

สามประการนี้ ใครมีครบก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนแบบบ้าคลั่งจากหุ้น “เพชรในตม” โดยไม่ต้องง้อหุ้นเทคเหมือนที่ “ปู่มังก์” ทำได้นั่นเอง

—————————–

ภาพและข้อมูลประกอบจาก : Stock Research Impacts Financial Health | Mohnish Pabrai | Talks at Google ชมได้ที่นี่