ความรักของบัฟเฟตต์

couplesunset.jpg

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ในสมัยวัยรุ่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นคนเนิร์ดๆ บุคลิกไม่ค่อยดี เขาจึงจีบสาวไม่ค่อยจะสำเร็จเท่าไรนัก

ผู้หญิงคนแรกที่ปู่จีบ ชื่อ บ๊อบบี้ ดอร์ลีย์ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนอร์มา เพื่อนของปู่ ทั้งคู่เดทกันในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ตอนนั้นปู่อายุแค่สิบแปด แต่แม้จะจีบสาว ปู่ก็ยังจีบแบบเนิร์ดๆ สไตล์แก คือชวนสาวเล่นบริดจ์ เกมลับสมอง เกมปริศนาต่างๆ

พอหมดหน้าร้อน ทั้งสองคนก็ห่างๆ กันไปเพราะอยู่คนละเมือง แม้ปู่จะเขียนจดหมายไปชวนบ๊อบบี้มาเที่ยวกับเขาที่ฟิลาเดลเฟีย ที่ซึ่งปู่เรียนหนังสืออยู่ แต่เธอก็ไม่ได้มา เพราะไม่อยากให้ปู่คิดไปไกลกับความสัมพันธ์ครั้งนั้น

สาวคนที่สองที่ปู่ไปเดทด้วย เป็นสาวน้อยที่ขี้อายสุดๆ ชื่อ แอน เบ็ค พ่อของเธอเปิดร้านเบเกอรี่อยู่ที่วอชิงตัน ปู่เคยออกเดทกับแอนแค่ครั้งเดียว แกเล่าว่า เดทครั้งนั้น เหมือนการแข่งขัน “ประกวดคนขี้อาย” คือแกกับแม่สาวแอนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลย ฝ่ายหญิงก็ขี้อาย และปู่เองก็ชวนคุยไม่เป็นเสียด้วย

แน่นอนว่ารักครั้งนั้นจึงไม่ได้มีการสานต่ออีกเช่นเคย

แต่แล้ว อีก 2-3 ปีต่อมา ปู่ก็ได้พบ “รักแท้” ของชีวิต ผู้หญิงคนนั้นคือ ซูซาน ธอมป์สัน บัฟเฟตต์ หรือ “ซูซี่”

ปู่รู้จักกับซูซี่ในปี 1950 โดยเธอเป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเบอร์ตี้ น้องสาวของปู่ ด้วยความที่มีแม่สื่อที่ดี และนิสัยใจคอเข้ากันได้ดี ทั้งคู่จึงตกหลุมรักและแต่งงานกันสองปีหลังจากนั้น

ดังที่ได้บอกไปแล้วว่า ปู่เป็นคนเนิร์ดๆ สนใจแต่เรื่องการลงทุน ชอบแต่ตัวเลข ไม่ค่อยดูแลตัวเอง แต่เมื่อซูซี่ก้าวเข้ามาในชีวิต เธอได้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของปู่ ทั้งเรื่องการแต่งตัว เรื่องบ้าน และเลี้ยงลูกทั้งสามคน คือ ซูซี่จูเนียร์ โฮเวิร์ด และปีเตอร์ จนเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี

แม้แต่ “เลล่า” แม่ของปู่ซึ่งเป็นคนอารมณ์ร้าย ก็ถูกเธอจัดการเสียอยู่หมัด ทำให้ปู่มุ่งเน้นความสนใจของเขาไปในการ “การลงทุน” ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียสมาธิกับสิ่งรบกวนรอบตัว สุดท้ายแกจึงประสบความสำเร็จ สร้างความมั่งคั่งได้มากมายมหาศาล

ปู่บอกว่า “ซูซี่ทำให้ชีวิตผมเข้าที่เข้าทาง”

ปัญหาก็คือ โลกของปู่กับซูซี่จะเป็นคนละโลกกัน ซูซี่เป็นคนชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือสังคม เป็นนักสิทธิมนุษยชนตัวยงคนหนึ่ง ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และสนใจศิลปะอย่างลึกซึ้ง

ส่วนปู่ไม่ทำอย่างอื่นเลย นอกจากนั่งอยู่ในห้องที่บ้าน และ “หาหุ้น” อย่างเดียวเท่านั้น

แม้ซูซี่จะพยายามเปิดโลกใหม่ๆ ให้กับสามี โดยบอกปู่ว่า “ในโลกนี้มีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ ไม่ใช่แค่นั่งหาเงินอยู่ในห้อง” แต่ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเขาได้ยาก จนทั้งสองเริ่มจะ “จูน” กันไม่ติด เพราะต่างคนต่างมีความปรารถนาของตัวเอง มีโลกที่ต้องแสวงหา

ด้วยความแตกต่างกันอย่างมากนี้ ทำให้ในที่สุด ซูซี่จำต้องขอแยกทางเดินกับปู่

ที่น่าแปลกคือ ก่อนจะหย่าร้าง ซูซี่ยังพา “เอสทริด เมิงส์” เพื่อนของเธอมาแนะนำให้สามีรู้จัก โดยขอให้เอสทริดอยู่ร่วมชายคา ทำหน้าที่เสมือนภรรยาคนใหม่ ช่วยดูแลสามีแทนเธอด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่หลายคนมองว่า “ใจกว้าง” จนไม่น่าเชื่อ และทั้งสามคนก็ยังเป็นมิตรที่ดีต่อกันเรื่อยมา

ในปี 2003 ซูซี่ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในช่องปาก และป่วยหนักอยู่หนึ่งปีเต็ม ก่อนจะเสียชีวิตลงในปี 2004 ขณะอายุได้ 72 ปี โดยปู่ดูแลเธออยู่ข้างเตียง ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

จนถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี เมื่อใดก็ตามที่มีคนถามถึงซูซี่ ปู่จะร้องไห้ออกมาทุกครั้ง แกบอกว่าการตายของซูซี่เป็นสิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตของแก เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีวันจะลืมได้ลง

หลังจากซูซี่ตาย ปู่ได้เริ่มต้นคิดเรื่องการทำการกุศลอย่างจริงจัง โดยบริจาคหุ้นให้มูลนิธิ ซูซี่ บัฟเฟตต์ และขยับขยายสเกลจนกลายเป็นการบริจาคทรัพย์สิน 99 เปอร์เซ็นต์ให้การกุศลในอีกหลายปีต่อมา

เรื่องราวความรักของวอร์เรนและซูซี่ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า “เบื้องหลังผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ มีผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่” อันเป็นคำกล่าวที่เป็นความจริงอยู่เสมอ

ชีวิตของคนเราอาจไม่สวยงามเหมือนกับความฝัน วอร์เรนกับซูซี่สร้างครอบครัวขึ้นมาจากความ “แตกต่าง” และความแตกต่างนั้น ทำให้ต้องแยกทางกันในที่สุด

แต่ทั้งสองคนก็ยังห่วงใย เป็นมิตร และดูแลซึ่งกันและกัน นี่คือสิ่งที่น่าจะสำคัญไม่น้อยกว่าการอยู่ด้วยกันเลยไม่ใช่หรือ?

(ข้อมูลประกอบจากหนังสือ Snowball : Warren Buffett and the Business of Life , Tap Dancing to Work , วิกีพีเดีย)

 

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s