โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
ชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีคอนเน็คชั่น จะทำอะไรก็ง่ายแสนง่าย แต่ทุกคนล้วนต้องผ่านวันที่ยากลำบากมาก่อน วันที่ยังไม่มีใครรู้จัก ไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย จะยกเว้นก็เฉพาะบางคนที่พ่อรวยมาตั้งแต่เกิด
สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่พ่อของเขาก็เคยประสบปัญหาทางการเงิน ชีวิตปู่ในวัยเด็กจึงไม่ได้สบายอย่างที่ใครๆ คิด
สมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ปู่เริ่มลงทุนในหุ้นมาระยะหนึ่งแล้ว วันหนึ่งแกพบว่า เบนจามิน แกรแฮม ผู้เป็นทั้งไอดอล และเป็นอาจารย์ในคณะบริหารธุรกิจที่แกเรียนอยู่ มีตำแหน่งเป็นประธานบอร์ดของไกโค บริษัทรับประกันภัยรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก อีกทั้งบริษัทของแกรแฮมยังถือหุ้นไกโคอยู่ถึง 55 เปอร์เซ็นต์ ปู่จึงสนใจบริษัทนี้มากๆ
สิ่งที่ปู่ทำก็คือ ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ในเช้าวันเสาร์อันหนาวเหน็บ ปู่จับรถไฟเที่ยวแรกไปยังวอชิงตันดีซี เพื่อไปที่สำนักงานใหญ่ของไกโค โดยไม่ได้รู้จักใครใดๆ ทั้งสิ้น แกเดินเข้าไปที่บริษัทซึ่งแทบไม่มีใครมาทำงาน และบอก รปภ.ที่ตึกว่า แกเป็นนักศึกษาของ เบน แกรแฮม และอยากรบกวนให้ใครสักคนช่วยอธิบายธุรกิจของไกโคให้แกฟัง (ทั้งที่จริง ตอนนั้นแกยังไม่ได้เรียนกับแกรแฮมด้วยซ้ำ แค่เป็นนักศึกษาในคณะเฉยๆ)
และเป็นโชคดีสุดๆ ของปู่ ที่เช้าวันเสาร์นั้น ลอริเมอร์ เดวิดสัน รองประธานของไกโคนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศพอดี พอได้รับแจ้งจาก รปภ.เช่นนั้น ท่านรองจึงให้เจ้าหนุ่มบัฟเฟตต์ขึ้นมาพบได้ กะว่าจะยอมคุยด้วยสั้นๆ สักห้านาที ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของ เบน แกรแฮม คนใหญ่คนโตของบริษัท แล้วเชิญกลับบ้านไปซะ
ปรากฏว่า จากที่ตั้งใจไว้ “ห้านาที” กลับกลายเป็น “สี่ชั่วโมงเต็ม”
โดยเดวิดสันย้อนความหลังให้ฟังว่า หลังจากได้คุยกันแค่ 10-20 นาที เขาก็รู้แล้วว่า เด็กหนุ่มที่กำลังคุยกับเขาอยู่นี่ เป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดามากๆ แม้จะยังหนุ่ม แต่รู้อะไรเยอะมาก และถามคำถามเหมือนกับมืออาชีพที่อยู่ในแวดวงการลงทุนมานาน
เดวิดสันยังบอกด้วยว่า หลังจากมองแล้วว่าบัฟเฟตต์ไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา เขาจึงเริ่มถามกลับบ้าง และได้รู้ว่าแม้จะอายุน้อย แต่บัฟเฟตต์ก็มีธุรกิจของตัวเอง ทั้งยังทำเงินได้มากมายตั้งแต่อายุแค่สิบหก เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งทำให้เขาชื่นชมในตัวเจ้าหนุ่มบัฟเฟตต์อย่างยิ่ง
ฝ่ายปู่ก็เล่าย้อนความหลังให้ฟังว่า แกถามคำถามเดวิดสันมากมายเกี่ยวกับธุรกิจประกันและบริษัทไกโค คุยกันอยู่สี่ชั่วโมงเต็ม จนวันนั้นเดวิดสันไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวัน
ปู่บอกว่า “เขาคุยกับผมเหมือนผมเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลก”
แล้วปู่ก็สรุปว่า การที่เดวิดสันเปิดประตูให้แกเข้าไปพบในเช้าวันนั้น คือการเปิดประตูสู่โลกของธุรกิจประกันภัยให้กับแก ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกัน หลายปีต่อมา บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้นไกโคเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะซื้อทั้งบริษัทในที่สุด
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เมื่อปู่เข้าใจกลไกของธุรกิจประกันแจ่มแจ้งแล้ว แกได้ใช้มันเป็นเครื่องจักรผลิตเงินสดให้กับการลงทุนของตัวเองเรื่อยมา แม้ทุกวันนี้สภาพคล่องที่ล้นเกินอยู่เสมอของ เบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ ส่วนใหญ่ก็มาจากธุรกิจประกัน ซึ่งเป็นความรู้ที่แกได้จากการคุยกับเดวิดสันในเช้าวันนั้นเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนนั่นเอง
อาจกล่าวได้ว่า หากวันนั้นปู่ไม่ทำในเรื่องบ้าๆ อย่างการนั่งรถไฟหลายร้อยไมล์ไปพบใครก็ไม่รู้ในเช้าวันหยุด แกก็คงไม่ค้นพบวิธีหาเงินถุงเงินถังมาลงทุนในสารพัดธุรกิจจนสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ขนาดนี้ และโลกทั้งโลกก็คงไม่รู้จักชายที่ชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ อย่างแน่นอน
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้ก็คือ ในวันที่เราไม่มีอะไร จงอย่าดูถูกตัวเอง หากเรามีความขยัน มุ่งมั่น ตั้งใจจริง และไม่ท้อแท้ สักวันต้องมีคนเห็น จงทำตัวให้เป็นคนน่ารัก รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนปู่ หากทำได้เช่นนี้ โอกาสดีๆ ย่อมจะตกมาถึงเรา
เหมือนที่ปู่เคยได้รับ “สี่ชั่วโมงเปลี่ยนชีวิต” ในเช้าวันเสาร์อันหนาวเหน็บที่ดีซี เมื่อหกสิบกว่าปีที่แล้วนั่นเอง
(ข้อมูลประกอบจากหนังสือ Tap Dancing to Work และ The Snowball)