โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
หนังสือ “The Snowball” ชีวประวัติของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เล่าไว้โดยละเอียดว่า ตระกูลบัฟเฟตต์ ตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกามานานแล้ว แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนนัก แต่ทราบได้ว่ามีอาชีพ “ชาวนา”
“บัฟเฟตต์” คนแรกที่มีหลักฐานว่าเคยมีชีวิตอยู่ คือ จอห์น บัฟเฟตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าเขามีเชื้อสายฝรั่งเศส จอห์นอพยพมายังอเมริกาในศตวรรษที่ 17 และมาทำนาอยู่ที่ลองไอส์แลนด์ (ผมสงสัยมานานแล้วว่านามสกุลของบัฟเฟตต์ออกไปทางฝรั่งเศส เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง)
หลังจากนั้นอีกเจ็ดเจเนอเรชั่น จึงปรากฏชื่อของ เซบูลอน บัฟเฟตต์ ชาวนาในลองไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นคนตระกูลบัฟเฟตต์คนแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีตัวตนอยู่จริง
หลานชายของเซบูลอน ชื่อ ซิดนีย์ บัฟเฟตต์ เดิมทำงานอยู่ในฟาร์มของเซบูลอน (เซบูลอนเป็นปู่ของซิดนีย์) แต่ต่อมาก็เลิก เพราะไม่พอใจที่ได้ค่าจ้างน้อย ก่อนจะย้ายถิ่นฐานไปยังโอมาฮา รัฐเนบราสก้า เพื่อไปช่วยงานในธุรกิจของคุณตา และนั่นคือครั้งแรกที่คนตระกูลบัฟเฟตต์เข้ามาตั้งรกรากในโอมาฮา
ต่อมา ซิดนีย์แยกออกไปเปิดร้านขายของชำของตัวเอง ร้านของเขาขายผัก ผลไม้ ไพ่ และของเล่นต่างๆ ซิดนีย์เป็นคนขยัน เปิดร้านถึงห้าทุ่มทุกวัน จนธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
ซิดนีย์มีลูกหกคน ตายไปสี่คน สองคนที่ไม่ตาย คือ เออร์เนสต์ และแฟรงก์ ทั้งสองต่างก็ช่วยงานในร้านของพ่อ
วันหนึ่ง มีสาวสวยคนหนึ่งชื่อ เฮนเรียตต้ามาสมัครงาน ทั้งเออร์เนสต์และแฟรงก์ต่างก็แย่งกันจีบ แต่เออร์เนสต์หล่อกว่า จึงจึบได้ ซึ่งทำให้แฟรงก์เจ็บใจมาก หลังจากนั้น สองพี่น้องไม่พูดคุยกันอีกเลยจนวันตาย โดยแฟรงก์ไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิตด้วย
เออร์เนสต์ กับเฮนเรียตต้า มีลูกสามคน คนสุดท้องคือ โฮเวิร์ด (พ่อของวอร์เรน) หลังจากแต่งงาน ทั้งคู่แยกออกมาเปิดร้านขายของชำของตัวเอง โดยร้านใหม่นี้ เออร์เนสต์ร่วมหุ้นกับซิดนีย์ ผู้พ่อ
โฮเวิร์ด ลูกของเออร์เนสต์ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนลูกคนรวย เขาจึงรู้สึกแปลกแยกอยู่ไม่น้อย เพราะพ่อของเขาเป็นแค่เจ้าของร้านขายของชำ อีกทั้งตัวโฮเวิร์ดยังเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ (ต่อมา วอร์เรนก็ส่งหนังสือพิมพ์ตามรอยพ่อ) และยังใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ถูกโละมาจากพี่สองคน แต่เขาก็ยังรักดี และเรียนดีด้วย
โฮเวิร์ดเข้าเรียนที่คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนบราสก้า เขาเป็นกอง บก. หนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัย ต่อมา เขาพบกับเลล่า (แม่ของวอร์เรน) ซึ่งเป็นคนสนใจในงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์เหมือนกัน ทั้งคู่แต่งงานกันและมีลูกสามคน คือ ดอริส วอร์เรน และโรเบิร์ตต้า
ต่อมา โฮเวิร์ดกลายเป็น “นักลงทุน” และเปิดบริษัทลงทุนของตัวเอง ทั้งยังลงเล่นการเมือง และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. พรรครีพับลิกัน เขาเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์ และเชื่อมั่นในทุนนิยมอย่างยิ่ง
วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า โฮเวิร์ดผู้พ่อคือต้นแบบของเขา ซึ่งเมื่อดูจากประวัติชีวิตของปู่ ก็พบว่าเป็นจริงตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นการหาเงินด้วยการส่งหนังสือพิมพ์ และการเลือกอาชีพเป็นนักลงทุน วอร์เรนล้วนเดินตามรอยพ่อทั้งสิ้น ยกเว้นเรื่องการเมือง ที่ปู่หันมาสนับสนุนพรรคเดโมแครต ไม่เหมือนพ่อที่เป็นลูกหม้อรีพับลิกัน (ส่วนหนึ่งเพราะซูซี่ ภรรยาสุดที่รักของปู่เป็นนักสิทธิมนุษยชนซึ่งมาในแนวเดโมแครต)
ผมจบบทความนี้ ด้วยข้อความที่เซบูลอน บัฟเฟตต์ (ปู่ของปู่ของพ่อของวอร์เรน) เคยเขียนถึงซิดนีย์ผู้เป็นหลาน หลังจากซิดนีย์ทิ้งปู่และอพยพไปยังโอมาฮา จนกลายเป็นรกรากใหม่ของตระกูลบัฟเฟตต์จนถึงทุกวันนี้ โดยคำสอนในกระดาษนี้เอง เป็นสิ่งยืนยันถึงการมีตัวตนของเซบูลอน ซึ่งเป็นตระกูลบัฟเฟตต์คนแรกที่ยืนยันได้ว่าเคยมีชีวิตอยู่
เนื้อหามีดังนี้
“เวลาดีลอะไรกับใคร ต้องตรงเวลา”
“คนบางคนดีลอะไรด้วยยาก ให้พยายามหลีกเลี่ยง”
“จงรักษาเครดิตไว้ให้ดี เพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าเงิน”
“หากจะทำธุรกิจ จงพอใจกับผลตอบแทนระดับปานกลาง อย่าดิ้นรนจะรวยมากเกินไป”
“จงใช้ชีวิตให้พอเหมาะ อยู่ให้พอควร ตายให้พอดี”
ด้วยหลักในการดำเนินชีวิตตรงนี้ ทำให้คนในตระกูลบัฟเฟตต์ทุกคน ไม่มีใครยากจน แม้จะไม่มีใครทิ้งมรดกมากมายไว้ให้ลูกหลาน แต่ก็ไม่เคยมีใครจากโลกนี้ไปตัวเปล่าๆ ด้วยนิสัยรู้จักเก็บออมและใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะ
คำสอนอันล้ำค่าของตระกูลบัฟเฟตต์ ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะจากโฮเวิร์ดผู้เป็นพ่อ น่าจะมีส่วนทำให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ สร้างตัวเองขึ้นมา จนกลายเป็นนักลงทุนและนักบุญที่ยิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้
——————
(ข้อมูลประกอบจากหนังสือ The Snowball ครับ)