“กางเกงช้าง” มหัศจรรย์ กับเหตุผลที่คุณต้องดู Shark Tank

Shark-Tank

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

เรียลลิตีโชว์ที่ผมชอบที่สุด คือ Shark Tank รายการนี้ดังมากๆ ในสหรัฐอเมริกา ฉายทางช่อง ABC รูปแบบรายการคือให้เจ้าของธุรกิจมาเสนอขายหุ้นของตัวเองแก่บรรดา Shark หรือ “ฉลาม” อันหมายถึงนักธุรกิจและนักลงทุนจากหลากหลายวงการจำนวน 5-6 คน

ทั้งนี้ ผู้ที่มาออกรายการจะมีเวลาสั้นๆ ในการพรีเซ้นต์สินค้าและธุรกิจของตัวเอง ก่อนจะเจอกับคำถามจากบรรดา Shark ซึ่งเป็นคณะกรรมการ หากพวก Shark สนใจ ก็จะยื่นข้อเสนอกลับมา และถ้าตกลงกันได้ ทั้งสองฝ่ายก็จะร่วมลงทุนทำธุรกิจกัน

ที่อยากเล่าในที่นี้ เพราะหลังจากดูมาหลายซีซั่น ผมไปเจอกับ ep. หนึ่งที่ทำให้งงมากๆ เพราะเจ้าของธุรกิจที่มา pitch นั้น ทำธุรกิจขาย “กางเกงช้าง” เป็นกางเกงผ้าบางๆ ใส่สบาย มีลวดลายเป็นรูปช้าง เหมือนที่ขายอยู่หน้าวัดพระแก้ว – วัดโพธิ์ นั่นแหละ

โดยผู้นำเสนอทั้งสองบอกว่า ได้ไอเดียนี้หลังจากไปเที่ยวปางช้างที่เมืองไทยแล้วเห็นช้างถูกทรมาน  จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำกางเกงลายช้างออกมาขาย เพื่อเอารายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยช้าง

ในฐานะคนไทย ได้ยินอย่างนี้แล้ว ผมอดนึกในใจไม่ได้ว่ามัน “แปลกๆ อยู่” เพราะกางเกงลายช้างที่ว่านี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปางช้าง หรือแคมป์ช้างที่เอาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยตรงแต่อย่างใด มันเป็นแค่กางเกงที่เอาไว้ใส่เข้าวัด หรือใส่สบายๆ อยู่กับบ้าน มีขายดาษดื่นในเมืองไทย

ที่นึกออกก็เช่น หน้าวัดพระแก้ว-วัดโพธิ์ บางร้านก็ให้เช่าเพื่อใส่เข้าวัด (สำหรับนักท่องเที่ยวที่นุ่งสั้น) ซึ่งลวดลายก็ไม่ได้มีแต่ลายช้าง แต่มีสารพัดลาย ส่วนใหญ่จะเป็นลายไทยๆ (เพื่อนเยอรมันผมเรียกมันว่า Temple Pants เพราะผมซื้อให้เขาใส่เข้าวัด ตอนไปเที่ยววัดโพธิ์ด้วยกัน)

ไม่ใช่เฉพาะผมที่รู้สึกว่านี่เป็นธุรกิจที่งี่เง่า บรรดา shark หรือคณะกรรมการซึ่งเป็นมหาเศรษฐีก็รู้สึกว่าไอเดียนี้ไร้สาระเช่นกัน แต่เมื่อผู้นำเสนอเปิดเผยว่ามียอดขายถึง 7 ล้านเหรียญ หรือกว่า “230 ล้านบาท!!” หลังจากดำเนินธุรกิจมาเพียงสองปี ก็ทำเอา shark ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร

โดยเฉพาะคนไทยอย่างผมยิ่งงงหนักกว่า เพราะผู้นำเสนอบอกว่า ราคาขายปลีกของกางเกงช้างของเขานั้นอยู่ที่ตัวละ 24 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว “800 บาท!!”  ทั้งที่เราต่างรู้กันดีว่า กางเกงพวกนี้แถวหน้าวัดขายกันในราคาร้อยกว่าบาทเท่านั้น  ไม่เพียงเท่านั้น ยอดขายทั้งหมดยังมาจาก Facebook ไม่มีช่องทางอื่นเลย

JAMES BROOKS, NATHAN COLEMAN (THE ELEPHANT PANTS)

หลังจากหูผึ่งกับยอดขายแล้ว แม้จะมีข้อติติงหลายอย่าง เช่นที่ มาร์ค คิวบาน นักธุรกิจมหาเศรษฐีเจ้าของทีม ดัลลัส มาเวอร์ริคส์ เตือนว่า การขายผ่าน Facebook เพียงช่องทางเดียวถือว่าเสี่ยงมาก เพราะแค่ FB เปลี่ยนนโยบาย ธุรกิจก็อาจเจ๊งได้เลย

แต่สุดท้าย ด้วยยอดขายที่เย้ายวนใจ หนึ่งใน Shark คือ เดย์มอน จอห์น นักธุรกิจผิวดำที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจเสื้อผ้าฮิปฮอป ก็ยื่นข้อเสนอและตกลงกันได้ด้วยการซื้อหุ้น 17.5% ในบริษัท เป็นเงิน 500,000 เหรียญ หรือ 16.5 ล้านบาท

คิดเป็น Valuation ทั้งบริษัทถึง 2.85 ล้านเหรียญ หรือ “94 ล้านบาท” เลยทีเดียว!! 

(ที่จริงยังมีข้อเสนอจาก เควิน โอเลียรี่ เจ้าของฉายา “มิสเตอร์วันเดอร์ฟูล” Shark ตัวหลักของรายการด้วย แต่ผู้นำเสนอเลือกดีลกับเดย์มอนด์)

ผมเชื่อว่าไม่ว่าคนไทยคนไหนที่ได้ดู คงนึกในใจเหมือนผมว่า นี่มัน “บ้าไปแล้ว” กับการลงทุนในบริษัทเช่นนี้เป็นเงินมากขนาดนี้ เพราะมันขายสินค้าดาดๆ ที่ไม่น่าจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็น “ของแปลก” สำหรับคนอเมริกันก็ตาม

ทันทีที่ ep. นี้จบลง ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมา Google ดูทันที ว่าสุดท้ายแล้วธุรกิจนี้เป็นอย่างไร (ep. นี้ออกอากาศตั้งแต่ปี 2017) ก่อนจะพบว่า Elephant Pants ยังดำเนินธุรกิจอยู่ แม้ในเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง Reddit จะมีคนบ่นว่าหาซื้อยาก หรือหาซื้อไม่ได้แล้ว แต่เมื่อลองเข้าไปในเว็บไซต์ ก็เห็นว่ายังสั่งซื้อได้

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวผมรู้สึกแปลกๆ กับเว็บไซต์ของบริษัทนี้ เพราะมีบางจุดที่ผมรู้สึกเองว่า “ไม่โปร” อย่างแรง เช่น มีการสะกดคำผิดๆ อย่างไม่น่าให้อภัย อาทิ สะกดคำว่า Donated (ที่แปลว่าบริจาค) เป็น Dontated (ดูภาพประกอบ)

ผมจึงเดาเอาเองว่า ตัวธุรกิจไม่น่าจะสวยหรูเท่าไรนัก มิเช่นนั้นคงมีคนมาคอยดูเว็บไซต์ ไม่ปล่อยให้พลาดขนาดนี้ (แม้ผมจะไม่สามารถไปหายอดขายหรือกำไรมาวิเคราะห์ได้เนื่องจากบริษัทไม่ได้เข้าตลาดหุ้น)

IMG_8185

โดยสรุป ผมได้บทเรียนจาก Shark Tank ep. นี้ ห้าข้อ ดังนี้

หนึ่ง) ธุรกิจบางอย่าง เพียงอาศัย “ความแปลกใหม่” โดยเอาของจากที่หนึ่งไปขายยังอีกที่หนึ่ง ก็สามารถทำเงินได้มากมายมหาศาล แม้มันอาจไม่ได้มีค่าอะไรเลยในถิ่นกำเนิดของตัวมันเอง แต่คนต่างถิ่นอาจรู้สึกว่า “แปลกดี” จนทำให้มีค่าขึ้นมา (ขนาดเพื่อนเยอรมันที่ผมพาไปเที่ยววัดโพธิ์ ยังชอบและซื้อกลับบ้านไปแจกครอบครัว 5-6 ตัว ส่วนผมไม่ซื้อเลยสักตัว)

ในทางกลับกัน ลองนึกดูว่าถ้ามีคนไทยเอาบริษัทอย่างนี้มาขายให้คุณในราคา 94 ล้าน ต่อให้คุณมีเงิน นอกจากจะไม่สนใจซื้อแล้ว เผลอๆ ยังจะด่ากลับไป 

สอง) การ “จดสิทธิบัตร-เครื่องหมายการค้า” เป็นสิ่งสำคัญมากๆ “กางเกงลายช้าง” อย่างนี้ในเมืองไทยมีมานานแล้ว แต่ไม่เคยมีใครจดเครื่องหมายการค้า หรือเอาไปปั้นแบรนด์เป็นเรื่องเป็นราว แต่ปรากฏว่าฝรั่งเอาไปทำจนรวยได้

จะเห็นได้ว่าคนไทยเรายังขาดเรื่อง “แบรนดิ้ง” อยู่มาก

สาม) รู้จัก “สร้างสตอรี่” ให้กับแบรนด์ ผู้นำเสนออ้างว่า แบรนด์นี้เอารายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยช้าง และที่ทำธุรกิจนี้เป็นเพราะเห็นช้างถูกทรมาน ทั้งที่จริงมันก็คือการขายเสื้อผ้าคุณภาพธรรมดาๆ (shark บางคนยังบอกด้วยซ้ำว่าคุณภาพต่ำ) แต่เมื่อบวกสตอรี่เข้าไป จึงดูดีและมีคุณค่า (แม้คนไทยส่วนใหญ่จะไม่อิน)

สี่) ธุรกิจที่จะยั่งยืนได้ในระยะยาว ต้องมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ของที่คนอื่นลอกเลียนได้ง่าย ไม่มีทางจะอยู่ยั้งยืนยง ทุกวันนี้กางเกงหรือเสื้อพวกนี้ แม้ไม่ได้มาเมืองไทยก็หาซื้อได้ใน Amazon หรือ Taobao ในราคาที่ถูกกว่าเยอะ ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว Elephant Pants จะลงเอยอย่างไร แต่อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าของซึ่งเป็นไอ้หนุ่มกะโปโลสองคนที่มาเที่ยวเมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีย่อมๆ ได้

ห้า) ดู Shark Tank เถอะ “มันโคตรสนุกและมีประโยชน์จริงๆ” 

หมายเหตุ: ผมไม่เคยดู Shark Tank Thailand จึงไม่ขอให้ความเห็นครับ


Credit Image :

1 ภาพประกอบ Shark Tank ของ ABC เอามาจาก celebwikigossip.com

2 เอามาจาก theelephantpantz.com

3 ถ่ายจากหน้าเว็บ theelephantpantz.com

 

 

 

 

 

 

 

“วิถีอีแร้ง” รวยจากหุ้นบริษัทล้มละลาย

plane-841441_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมเพิ่งแปลหนังสือเรื่อง You Can Be A Stock Market Genius ของ โจเอล กรีนแบล็ตต์ นักลงทุนสมองเพชร ผู้คิดค้น Magic Formula เขาพูดไว้เกี่ยวกับ “หุ้นของบริษัทล้มละลาย” ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจมากๆ จนอดไม่ได้ที่จะเอามาเล่าต่อ

บริษัทส่วนใหญ่ที่ล้มละลาย มักเกิดจากสาเหตุหลักๆ ไม่กี่สาเหตุ เช่น ธุรกิจย่ำแย่ บริษัทขยายธุรกิจมากเกินไป หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว บางบริษัทมี สหภาพแรงงาน คอยกัดกินผลประโยชน์จนองค์กรล่มสลาย

จริงอยู่ การซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่กำลังยื่นขอล้มละลายไม่ใช่ไอเดียที่ดีแน่ๆ เพราะผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ล้มละลาย จะอยู่ในลำดับสุดท้ายที่จะได้เงิน ถัดจากลูกจ้าง ธนาคาร ผู้ถือหุ้นกู้ เจ้าหนี้การค้า (เช่น ซัพพลายเออร์) และสรรพากร

เรียกได้ว่า อาจจะไม่เหลืออะไรติดไม้ติดมือเลยก็ได้

ตามกฏหมายล้มละลายของสหรัฐฯ จะมี “มาตรา 11” หรือ chapter 11 ที่ให้ความคุ้มครองทางกฏหมายแก่ธุรกิจ ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ระหว่างเจรจาหาข้อตกลงกับเจ้าหนี้ (ล่าสุดได้ยินข่าวว่ากำลังมีข้อเสนอให้ใช้ลักษณะเดียวกับมาตรา 11 กับการยื่นล้มละลายของรัฐวิสาหกิจชื่อดังในประเทศไทยเช่นเดียวกัน)

แม้หุ้นสามัญของบริษัทล้มละลายจะไม่ใช่ตัวเลือกในการลงทุนที่ดี แต่เราสามารถ “หาโอกาสลงทุน” ในช่วงที่การยื่นขอล้มละลายเกือบจะได้ข้อสรุปเรียบร้อย และผู้บริหารคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตออกมาได้แล้ว

กล่าวคือ บริษัทล้มละลายโดยทั่วไปมักไม่มีเงินสดเหลือมากนัก ในขณะที่ผู้ถือหุ้นกู้ (ไม่ด้อยสิทธิ์) มักได้รับเงินสดบางส่วน แต่ผู้ถือหุ้นสามัญส่วนใหญ่มักได้แค่วอร์แรนต์ หรือ “หุ้นใหม่” ของบริษัท ที่ตั้งขึ้นมาหลังบริษัทเก่าล้มละลาย

โอกาสของคุณ คือการวิเคราะห์หุ้นสามัญของ “บริษัทใหม่” นี้ ก่อนที่มันจะเข้าเทรดในตลาด โดยคุณควรอ่านข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกระบวนการยื่นขอล้มละลาย ผลงานในอดีตของบริษัท และโครงสร้างเงินทุนใหม่ ซึ่งจะยื่นต่อ กลต. ในเอกสารที่มีชื่อว่า “แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์” (registration statement)

เอกสารชุดนี้ จะมี “ประมาณการธุรกิจในอนาคต” ของผู้บริหารรวมอยู่ด้วย พูดอีกอย่างก็คือ มันจะอธิบายความยุ่งยากซับซ้อนที่ผ่านมาทั้งหมดของกระบวนการยื่นขอล้มละลาย และตีแผ่อนาคตให้เราได้เห็น

อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัทมักไม่สนใจข้อมูลเหล่านี้ เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คืออดีตผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้การค้าของบริษัทที่เพิ่งล้มละลายไป ซึ่งไม่ได้สนใจที่จะถือหุ้นมาตั้งแต่แรก แต่ได้หุ้นมาเพื่อแลกกับการใช้หนี้เท่านั้น

ครั้นหุ้นใหม่เข้าเทรดในตลาด คนกลุ่มนี้จึงมัก “ขายหุ้นทิ้ง” ทันที และนี่แหละคือโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ เพราะหุ้นของบริษัทที่ตั้งใหม่หลังการล้มละลายมักเทรดกันต่ำกว่ามูลค่าในช่วงแรกที่เข้าตลาด

นอกจากนี้ ด้วยความที่ตลาดหุ้นมักมองข้ามบริษัทที่เพิ่งพ้นจากภาวะล้มละลาย จึงไม่มีใครสนใจที่จะไปโปรโมทมัน มันจึงถูกเรียกว่า “หุ้นกำพร้า” และถูกกดราคาไว้

ผลการศึกษาระหว่างปี 1980 ถึงปี 1993 พบว่า หุ้นล้มละลายใหม่ที่ถูกแจกจ่ายออกไป ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีตลาดอื่นๆ “มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์” ในช่วง 200 วันแรกของการเทรด

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็น “หุ้นกำพร้า” ของอดีตบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะพวก “บริษัทแห่งชาติ” ผลตอบแทนมักไม่สูงนัก ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระวังไว้ให้ดี

วิธีป้องกันก็คือ ให้เลือกหุ้นซึ่งมีตลาดเฉพาะทางที่เข้มแข็ง มีแบรนด์เนม มีแฟรนไชส์ หรือมีตำแหน่งที่ได้เปรียบในอุตสาหกรรม  ซึ่งคงยากที่จะมีครบทั้งหมด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ล้มละลายแต่แรก แต่มีบ้างไว้เป็นเบาะรองรับ ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ก่อนจบ ต้องบอกว่า สถิติข้างต้นมาจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งอาจเหมือนหรือต่างจากตลาดหุ้นไทย อันนี้ก็ต้องระวังไว้ด้วย

ใครสนใจอยากเป็น “พญาอีแร้งแห่งปี” ก็ลองศึกษาหาข้อมูลกันดูนะครับ ไม่แน่ว่า “ของเน่า” อาจทำให้เรารวยได้เหมือนกัน

เกร็ดความรู้จากหนังสือ Homodeus (1)

person-110305_960_720

โดย  ชัชวนันท์ สันธิเดช

ด้านล่างนี้คือเกร็ดความรู้จากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ระดับโลก “Homodeus” โดย ยูเอล โนอาห์ ฮารารี ที่ผมได้อ่านและเห็นว่าน่าสนใจมาก จึงเลือกหยิบยกมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทยบางส่วน ใครสนใจหนังสือระดับตำนานเรื่องนี้ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป มีทั้งต้นฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลไทยครับ

——-

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีคนตายจากการกินมากเกินไป มากกว่าคนที่ตายจากการกินน้อยเกินไป มีคนแก่ตายมากกว่าตายจากโรคระบาด มีคนฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่ตายเพราะถูกทหาร ผู้ก่อการร้าย หรืออาชญากรสังหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 คนทั่วไปมีโอกาสตายจากการกินแม็คโดนัลด์มากกว่าความอดอยาก อีโบล่า หรือการโจมตีของอัลกอห์อิดะห์

ปัจจุบันนี้ ไม่มีภาวะอดอยากตามธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว คนที่อดตายในซีเรีย ซูดาน โซมาเลีย เป็นเพราะมีนักการเมืองต้องการให้เป็นอย่างนั้น

ก่อนจะถึงศตวรรษที่ 20 เด็กหนึ่งในสามของโลกตายก่อนโตเป็นผู้ใหญ่ จากทุพโภชนาการ และโรคร้าย

ในปี 2015 แพทย์ได้ค้นพบ “เท็กโซแบคทีน” (teixobactin) ยาปฏิชีวนะใหม่ซึ่งแบคทีเรียไม่สามารถต้านได้ เป็นตัวยาที่จะปฏิวัติการรักษาโรค ในวิถีทางที่ต่างจากยาชนิดก่อนๆ ที่เคยมีมา

ไบโอเทคโนโลยี ช่วยให้เราเอาชนะแบคทีเรียและไวรัส แต่ก็ทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อภัยคุกคามใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน กล่าวคือ แม้แพทย์จะระบุตัวตนและหาทางรักษาโรคร้ายใหม่ๆ ได้เร็ว แต่กองทัพและผู้ก่อการร้ายก็จะสร้างเชื้อโรคอันตรายใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเชื้อโรคที่อาจนำไปสู่วันโลกาวินาศขึ้นมาเพื่อรับใช้ลัทธิความเชื่อของตนเองได้เช่นกัน

ในปี 2012 มีผู้คนทั่วโลกล้มตายประมาณ 56 ล้านคน 620,000 คนในนั้น ตายจากความรุนแรงโดยมนุษย์ (ตายจากสงคราม 120,000 คน ตายจากอาชญากรรม 500,000 คน) ขณะที่ 800,000 คน ฆ่าตัวตาย และ 1.5 ล้านคน ตายจากเบาหวาน จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ “น้ำตาล” อันตรายกว่า “ดินปืน” เสียอีก

“กฏเชคอฟ” (Chekhov Law) โดย แอนตัน เชคอฟ บอกไว้ว่า ปืนที่ปรากฏในองค์ที่หนึ่ง จะถูกใช้ยิงในองค์ที่สามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความหมายก็คือ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กษัตริย์และจักรพรรดิที่ชอบสะสมอาวุธใหม่ๆ สักวันย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกดึงดูดให้ใช้มัน

ผู้ก่อการร้ายยึดครองวาระของโลกได้ ด้วยการยั่วยุให้ศัตรูของพวกเขา “ตอบสนองเกินเหตุ” (overreact) โดยทำให้คนทั่วโลกหวาดกลัว และการตอบสนองเกินเหตุต่อการก่อการร้ายนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกอองกำลังทหารขนาดมหึมา การละเมิดรุกล้ำพลเมืองโดยรวม เป็นภัยคุกคามที่รุนแรงยิ่งกว่าการก่อการร้ายโดยตัวของมันเองมากมายนัก

เมื่อต้องเลือกระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นักการเมือง CEO และผู้ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่จะเลือกการเติบโตเสมอ แต่ในศตวรรษที่ 21 เราจะหวังแค่นั้นไม่ได้ หากไม่อยากเผชิญกับหายนะ

สิ่งที่พึงปรารถนาที่สุดของมนุษยชาติ น่าจะเป็นการไม่มีความอดอยาก โรคระบาด หรือสงคราม โดยสร้าง “จุดสมดุลทางนิเวศวิทยา” ขึ้นมาได้ แต่ธรรมชาติมนุษย์มักไม่พอใจแค่นี้ การตอบสนองที่เป็นไปได้ที่สุดของมนุษย์เพื่อให้ได้รับความสำเร็จ จึงไม่ใช่การสร้างความรู้สึกพึงพอใจ แต่เป็นการแสวงหาให้มากขึ้น

(ต่อตอนหน้า)