จัดพอร์ตอย่าง เรย์ ดาลิโอ

800px-Web_Summit_2018_-_Forum_-_Day_2,_November_7_HM1_7481_(44858045925)

 

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

หนึ่งในนักลงทุนชื่อกระฉ่อนโลกที่ถูกถามถึงอย่างมากในช่วงหลังๆ โดยเฉพาะท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 คือ  เรย์ ดาลิโอ มหาเศรษฐี ผู้จัดการกองทุน Bridgewater เฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นผู้เขียน PRINCIPLES หนังสือเบสต์เซลเลอร์อันดับหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้

วันนี้จะพาทุกท่านไปดูกันว่า พอร์ตการลงทุนของดาลิโอเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เห็นถึงแนวคิดของเขา ซึ่งน่าจะเอามาปรับใช้ได้โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้

ทั้งนี้ ผมขอตัดจบ ณ ปี 2019 ก่อนโคโรน่าไวรัส (ซึ่งทำให้มูลค่าพอร์ตของเขาผันผวนอย่างรุนแรง) เพื่อให้สะท้อน “แนวคิด” ของเขาออกมาได้อย่างดีที่สุด ดังนี้ครับ

การลงทุนที่มีสัดส่วนมากที่สุดในพอร์ตของ Bridgewater คิดเป็น 15.9% ด้วยมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญ คือกองทุน ETF ของแวนการ์ดสำหรับตลาดเกิดใหม่ (Vanguard FTSE Emerging Markets ชื่อย่อ VWO) โดยกองนี้จะลงทุนในหุ้นตัวหลักๆ ของประเทศอย่าง จีน บราซิล ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินเดีย รวมทั้งเมืองไทย

ทั้งนี้ Bridgewater ได้รับผลตอบแทนจากกองทุนนี้เฉลี่ย 5.56% ในรอบสิบปีหลัง จนถึงปี 2019 (ฟังดูดาดๆ มากเลยใช่มั้ยครับ)

สัดส่วนที่รองลงมาในพอร์ตของดาลิโอ คือ SPDR S&P 500 ETF Trust ชื่อย่อกองคือ SPY โดยมีสัดส่วน 15.6% ของพอร์ต เป็นกองทรัสต์ ETF ที่ลงทุนใน S&P 500 หมายถึงหุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวในสหรัฐฯ

นี่อาจถือได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของ VWO เพราะเป็นการลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และกลางของสหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าค่อนข้างมั่นคงและเสี่ยงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย

ขอตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นไว้ตรงนี้ว่า ดาลิโอชอบ “ETF” ซึ่งหมายถึงกองทุนที่ซื้อขายหน่วยกันในตลาดหลักทรัพย์เสมือนหุ้น มากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลเรื่องของสภาพคล่องหรืออื่นใดก็ตาม ซึ่งตรงข้ามกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ชอบซื้อหุ้นเป็นรายตัวหรือซื้อทั้งบริษัท

สัดส่วนอันดับสามในพอร์ตของดาลิโอ คือกอง EEM และกอง IEMG ซึ่งเป็น ETF ของตลาดเกิดใหม่เช่นกัน แต่ที่สองกองนี้ต่างจาก VWO คือ เป็นการรวมเอาหุ้นทั้งใหญ่ กลาง และเล็ก ของตลาดเหล่านั้น ไม่ใช่เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ของแต่ละตลาด โดยดาลิโอถือสองกองนี้อยู่ 8.7% และ 9.4% รวมกันแล้วประมาณ 18%

ตัวอย่างของหุ้นหลักๆ ที่อยู่ในพอร์ตของสองกองนี้ก็คือบริษัทที่เรารู้จักกันดี อาทิ alibaba, tencents, samsung, ping an insurances, china mobile ฯลฯ

ส่วนสุดท้ายที่เป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อยและน่าสนใจมากๆ ในพอร์ตของดาลิโอ คือ “ETF ทองคำ” ได้แก่ กอง SPDR Gold Trust ตัวย่อคือ GLD โดยถือไว้เป็นสัดส่วน 4.2%

ตรงนี้ถือว่าไม่น่าแปลกใจ เพราะนักลงทุนผู้นี้ให้ความสำคัญกับทองคำเป็นอย่างยิ่ง เขาเคยบอกว่านักลงทุนทุกคน ไม่ว่ารายใหญ่-รายย่อย ควรมีทองคำอยู่ในพอร์ตของตัวเอง

นี่เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งดาลิโอตรงข้ามกับบัฟเฟตต์ โดยปู่ไม่ชอบทองเพราะมันไม่ให้ผลตอบแทนใดๆ ทว่า “ป๋าเรย์” บอกว่า เราควรมีทองคำไว้เพื่อ “รักษามูลค่า” เนื่องจากในช่วงเวลาแห่งความผันผวนที่มีหนี้ล้นตลาด และมีการพิมพ์เงินเข้ามาเรื่อยๆ “ทอง” นี่แหละที่ปลอดภัยที่สุดและจะช่วยคุณรักษาความมั่งคั่งไว้ได้

นอกเหนือจากสี่ส่วนหลักข้างต้นแล้ว ก็ยังมีการลงทุนอื่นๆ ยิบย่อย เช่น ETF ของเกาหลี 1% ETF ของบราซิลอีกเล็กน้อย และพวกหุ้นกู้เอกชนเกรดดี ตลอดจนพันธบัตรรัฐบาลบางส่วน

นี่คือภาพรวมการลงทุนของสุดยอดนักลงทุนอย่างเรย์ ดาลิโอ จนถึงปี 2019 ก่อนวิกฤตโควิด-19 ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดมากๆ คือคนทุกคนสามารถทำตามได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับการลงทุนของ “ขาใหญ่” อีกคนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์

ใครสนใจ เชิญเอาไปประยุกต์ใช้กับพอร์ตของตัวเองได้ตามอัธยาศัยครับ

——————-

ข้อมูลประกอบ : จากคลิปนี้ , Bridgewater.com และ wikipedia

Image credit :  Harry Murphy / Web Summit via Sportsfile

เมื่อปู่ลงทุนในธุรกิจที่รู้ทั้งรู้ว่าจะไม่ได้อะไร

Boys_town

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

นับตั้งแต่หารายได้ด้วยการส่งหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ตามบ้านในสมัยเด็ก บัฟเฟตต์ก็มีความสนใจในวิชาชีพหนังสือพิมพ์ตลอดมา ทั้งเขาและชาร์ลี มังเกอร์ มีความนับถืออย่างสูงต่อการทำข่าวเชิงวิเคราะห์ และสืบสวนสอบสวนของหนังสือพิมพ์

บัฟเฟตต์มีความคิดอยากเป็นเจ้าของ นสพ. มาพักใหญ่แล้ว และแล้ว โอกาสก็มาถึงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว โดยซูซี่ ภรรยาของเขา รู้จักกับสแตนฟอร์ด ลิปซีย์ เจ้าของหนังสือพิมพ์ โอมาฮา ซัน อยู่มาวันหนึ่ง ลิปซีย์ไปที่ออฟฟิศของบัฟเฟตต์ที่อาคารคีวิต พลาซ่า และบอกว่าเขาอยากจะขายธุรกิจของเขา

บริษัทของลิปซีย์ทำหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่เน้นเรื่องของท้องถิ่นประมาณ 5-6 หัวในเมืองโอมาฮา โดยมียอดขาย 50,000 ฉบับ กับรายได้ต่อปีประมาณ 1 ล้านเหรียญ โดยโอมาฮา ซัน ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หัวหลักของบริษัท เป็นเบอร์สองในเมือง ขณะที่เบอร์หนึ่งคือ โอมาฮา เวิลด์-เฮรัลด์

ดีลนี้ตกลงกันได้ใน 20 นาที  โดยข้อตกลงก็คือ ลิปซีย์จะรับเป็นบรรณาธิการต่อไป

ที่น่าตลกก็คือ บัฟเฟตต์ระบุในภายหลังว่า เขาจ่ายเงิน 1.25 ล้านเหรียญ แลกกับบริษัทที่คาดว่าจะทำเงินได้ปีละ 100,000 เหรียญ ซึ่งเท่ากับผลตอบแทนต่อเงินลงทุน 8% อันถือว่าน้อยมากสำหรับห้างหุ้นส่วนของเขาเวลานั้น ที่ทำผลตอบได้ปีละ 29.8%

ส่ิงที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาก็คือ บริษัท นสพ. นี้ย่ำแย่มาโดยตลอด และทำไม่ได้แม้กระทั่งกำไร 8% ที่บัฟเฟตต์เคยคาดไว้ แต่กลับได้ในสิ่งซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะได้

นั่นคือ “รางวัลพูลิตเซอร์” อันเป็นเกียรติยศสูงสุดแห่งวงการหนังสือพิมพ์อเมริกัน

Omaha_World-Herald_front_page

หลังจากบัฟเฟตต์เข้าไปถือหุ้นทั้งหมด โอมาฮา ซัน ได้ทำข่าวกรณี “Boys Town” ซึ่งเป็นบ้านเด็กกำพร้าชายล้วน ที่โด่งดังขึ้นมาจากการถูกเอาเรื่องราวไปทำเป็นหนังจนได้รางวัลออสการ์

ทั้งนี้ “เดอะ ซัน” ได้แฉเรื่องไม่ชอบมาพากลทางการเดิน โดย Boys Town ได้ระดมเงินทุนจากคนทั่วประเทศ และได้เงินหลายสิบล้านเหรียญ แล้วเอาเงินไปทำอีลุ่ยฉุยแฉก อีกทั้งยังมีการดูแลเด็กๆ แบบประหลาด คือจับเอาไปไว้ในแคมปัสที่ห่างไกล ไม่ให้เจอเด็กผู้หญิง ห้ามติดต่อกับโลกภายนอก เว้นเสียแต่ให้คนไปเยี่ยมได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และจดหมายทุกฉบับต้องถูกเซนเซอร์

หลังกรณีถูก โอมาฮา ซัน เผยแพร่ออกไป บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็ถูกสั่งห้ามระดมทุน และมีการเข้าไปปฏิรูปใหม่ทั้งหมด กรรมการทั้งคณะถูกให้ออก พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน และเปลี่ยนโมเดลการดูแลเด็ก ให้เด็กได้มาอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่ต้องการอุปการะเด็ก ไม่ใช่เอาไปขังในแคมปัสเหมือนแต่เดิม นั่นทำให้บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้เติบโตและคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

การเสนอข่าวเรื่องนี้ ทำให้โอมาฮา ซัน ชนะรางวัลพูลิตเซอร์ ในปีเดียวกับที่ วอชิงตัน โพสต์ ได้พูลิตเซอร์จากกรณีวอเตอร์เกต ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า นสพ.อันดับที่สองของเมืองเล็กๆ จะได้รับเกียรติยศยิ่งใหญ่ขนาดนี้

ที่น่าสนใจก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นผู้ที่สนับสนุนการทำข่าวนี้อย่างเต็มตัว เขาเป็นคนช่วยค้นหาตัวเลขอันไม่ชอบมาพากลของ Boys Town และบางครั้งยังปลอมตัวไปลงพื้นที่กับบรรดานักข่าวอาชีพอีกด้วย 

อย่างไรก็ตาม แม้บอยส์ทาวน์จะดีขึ้น แต่โอมาฮาซัน ซึ่งเเป็นธุรกิจของบัฟเฟตต์กลับแย่ลง ก่อนที่บัฟเฟตต์จะขายทิ้งไปในปี  1980 แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จึงปิดกิจการไปในปี 1983 ขณะที่คู่แข่ง คือ โอมาฮา เวิลด์ เฮรัลด์ เจริญก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้

บทเรียนที่ได้รับจากเรื่องนี้ก็คือ ชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่เรื่องเงิน จะทำอะไรอย่าคิดแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น บัฟเฟตต์ยอมเอาเงินกองทุนของเขามาเพื่อหนุนหลังหนังสือพิมพ์จอมอุดมการณ์อย่าง เดอะ ซัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะได้ผลตอบแทนแค่ในระดับกลางๆ หรืออาจจะไม่ได้อะไรเลย

แต่บางสิ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อสังคมที่ดีกว่า

บัฟเฟตต์เคยบอกว่าเขาเป็นคนโชคดี เขาทำเงินได้มากมายเพราะเขาโชคดีพอที่ได้เกิดมาในสังคมที่มีสถาบันที่ดี มีนิติรัฐ  เป็นสังคมที่พลเมืองเป็นใหญ่ มีการตรวจสอบและถ่วงดุลย์อำนาจ และมีสื่อที่มีเสรีภาพ เขาจึงยอมใช้เงินทุนที่มีเพื่อสนับสนุนเสรีภาพของสื่อ

นี่คือบุคคลระดับโลก ที่เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม และพิสูจน์แล้วด้วยการกระทำมาตลอดชีวิตของตนเอง


ใครสนใจเรียนแกะงบออนไลน์ พร้อมเรียนสด ประเมินมูลค่าหุ้นและทำ DCF วันที่ 6 ต.ค. คลิกที่ลิงค์นี้เลย https://clubvi.com/valuationanddcf9/


image credit :  wikipedia , both qualified as fair use.

 

 

ในวันที่บัฟเฟตต์คิด “เลิกลงทุน”

glowing-686871_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

หลังภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หรือ The Great Depression ในปี 1929 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใช้เวลาราวๆ 20 ปี ในการฟื้นตัว และคัมแบ็กกลับมาเต็มรูปแบบในทศวรรษ 1950 โดยในช่วงระยะเวลาสิบปี ระหว่างปี 1950-1959 ดัชนีดาวโจนส์ขึ้นจาก 200 มาอยู่ที่ 600 จุด เป็นการเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า

เวลานั้น อาจกล่าวได้ว่า “ทุกคนลืมเรื่องฝันร้ายเมื่อครั้ง Great Depression ไปหมดสิ้นแล้ว”

จากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้นมาเรื่อยๆ ครั้นถึงปี 1966 ตลาดก็เข้าขั้นร้อนแรงสุดขั้ว ในตลาดเต็มไปด้วยคนมากมายที่แห่กันเข้าไปเก็งกำไร

ณ ตอนนั้น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เกิดในช่วง Great Depression และสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างชื่อขึ้นมาในช่วงที่หุ้นยังไม่แพง โดยบริหาร Buffett Partnership จนมีเงินทุนหลายสิบล้านเหรียญ ทำผลตอบแทนได้ปีละ 29.8% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ ก็เริ่มจะ “หมดมุข” กับการลงทุน

ตลาดหุ้นในปี 1966 ค่า PE อยู่ที่ 15-20 เท่า เพิ่มจากสิบปีก่อนหน้านั้นซึ่งอยู่ที่ 12 เท่าเยอะมาก ทำให้เขาหาหุ้นถูกและดีแทบจะไม่ได้

แต่แทนที่จะโทษดินโทษฟ้า โทษคนในตลาด บัฟเฟตต์กลับบอกว่า

“เมื่อเกมมันไม่ได้เล่นกันในวิถีทางของคุณอีกต่อไปแล้ว การจะชี้นิ้วโทษว่าวิธีใหม่นั้นมันผิด เป็นสิ่งที่มนุษย์กระทำกันทั่วไป ซึ่งรังแต่จะก่อให้เกิดปัญหา ผมเองก็เคยรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมเช่นนั้นของคนอื่นมาแล้วในอดีต” 

แล้วปู่ในวัยกลางคนก็กล่าวยอมรับว่า

“อันที่จริง ผมอาจจะไม่เหมาะกับสภาวะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ในด้านหนึ่ง ผมก็ชัดเจน คือผมจะไม่ละทิ้งวิธีเดิมๆ ซึ่งเป็นตรรกะเหตุผลที่ผมเข้าใจ  แม้มันจะหมายถึงการที่ผมต้องยอมให้กำไรก้อนโตที่อาจจะได้มาง่ายๆ หลุดมือไป แทนที่จะเปิดรับวิธีใหม่ที่ผมไม่เข้าใจและไม่เคยใช้จนประสบผลสำเร็จเข้ามาแทนที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียเงินทุนไปอย่างถาวรได้”

จะเห็นได้ว่า แม้บัฟเฟตต์จะไม่โทษว่า “ตลาดผิด” แต่เขาก็ไม่ยอม “เปลี่ยนแปลงตัวเอง” ไปทำในสิ่งที่ไม่ถนัด

สุดท้าย บัฟเฟตต์จึงตัดสินใจ “ยุบห้างฯ” และออกจากตลาดหุ้นไป โดยตั้งใจจะเลิกลงทุนเป็นการถาวร

บทเรียนที่ได้รับจากเรื่องนี้ก็คือ ในการดำเนินชีวิตของคนเราต้องอย่าคิดแต่จะเอาเงิน จงรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ อะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง ก็ให้ถอยออกมา

หากคิดแต่จะโลภเอาเงิน ก็จะเอาชื่อเสียงที่เคยสั่งสมมาไปทิ้งซะเปล่าๆ

เลือกจังหวะก้าวเดินในชีวิตกันให้ดีๆ นะครับ

(มีต่อตอนหน้า)

—-
ใครสนใจเรียนแกะงบออนไลน์ พร้อมเรียนสด ประเมินมูลค่าหุ้นและทำ DCF วันที่ 6 ต.ค. คลิกที่ลิงค์นี้เลย https://clubvi.com/valuationanddcf9/