เรย์ ดาลิโอ ชี้ชัด “นี่คือ Depression”

800px-Web_Summit_2018_-_Forum_-_Day_2,_November_7_HM1_7481_(44858045925)

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมสรุปบทสัมภาษณ์ เรย์ ดาลิโอ นักลงทุนชื่อดังระดับมหาเศรษฐี ผู้จัดการกองทุน Bridgewater และผู้เขียนหนังสือเบสต์เซลเลอร์ PRINCIPLES จากการสัมภาษณ์ของ TED เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยดาลิโอได้ลงลึกถึง “วิกฤตโควิด-19” ครั้งนี้ และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต พร้อมให้คำแนะนำแก่นักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ

สรุปเป็นข้อๆ เข้าใจง่ายๆ ลองอ่านดูนะครับ

  1. ผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ กระทบกับสองสิ่งหลัก คือ “รายได้” และ “งบดุล”
  2. การแก้วิกฤตครั้งนี้ เป็นเรื่องของ “เงิน” กับ “เครดิต” รัฐบาลสหรัฐฯ ปั๊มเงินและเครดิต (หนี้) ออกมา
  3. เฟด (ธนาคารกลาง) ซื้อตราสารหนี้ แล้วคลังฯ ก็เอาเงินนั้นไปแจกจ่ายให้คนจำนวนมาก ยุโรปก็กำลังทำแบบเดียวกัน
  4. สหรัฐฯ ปั๊มเงินออกมามากมาย กู้หนี้มามากมาย แต่ใครจะจ่ายหนี้ เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาว ประเด็นสำคัญคือ entity ไหนจะได้ประโยชน์ แล้วจะกระจายความมั่งคั่งกันอย่างไร
  5. นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สมัยเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ปี 1930 รัฐบาลก็กู้เงินมามากมาย และใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์มาแล้ว
  6. ตอนนี้เราอยู่ในโมเม้นท์ชี้เป็นชี้ตาย ต้องดูว่าผู้คนจะร่วมแรงร่วมใจกันหรือไม่
  7. โลกเราเคยเกิด “ระเบียบโลกใหม่” หรือ New World Order มาแล้วเมื่อปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง 
  8. “การเมือง” เป็นปัจจัยที่จะมาตัดสินว่า หลังวิกฤต เราจะดีลกันเองอย่างไร จะจัดการกับความเหลื่อมล้ำอย่างไร ความฝันแบบอเมริกันยังมีอยู่มั้ย เราจะมุ่งไปในจุดเดียวกันหรือไม่
  9. มี “stress test” เกิดขึ้นทุก 75 ปี และกำลังเกิดขึ้นอยู่อีกครั้งตอนนี้
  10. เรากำลังก้าวเข้าสู่ “ภาวะตกต่ำ” (Depression) ทั่วโลก ดาลิโอชี้ชัดว่า คำว่า “depression” หมายถึงแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นระหว่างปี 1929-1932 คือเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราคนว่างงานเป็นเลขสองหลัก และขนาดของเศรษฐกิจลดลงไป 10% ขณะนี้เรากำลังอยู่ในภาวะเหมือนในตอนนั้น (ในปี 1933 รัฐบาลยุคนั้นแก้ไขปัญหาด้วยการพิมพ์เงินออกมามากมาย แบบเดียวกับที่รัฐบาลตอนนี้ทำ อัตราดอกเบี้ยก็เป็นศูนย์)
  11. ถามว่าใช้เวลานานขนาดไหนกว่าตลาดหุ้นจะกลับขึ้นไปและผ่านจุด high เดิม และใช้เวลานานขนาดไหนกว่าเศรษฐกิจจะกลับขึ้นไปและผ่านจุด high เดิม? ดาลิโอบอกว่า “นาน” และกระบวนการอาจจะใช้เวลากว่า “สามปี” กว่าจะปรับโครงสร้างขึ้นมาใหม่ได้
  12. “นี่ไม่ใช่การถดถอย (recession) นี่คือการพังทลาย (breakdown)”
  13. พลังที่มีอำนาจสูงสุด คือการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ (invention) กับ การปรับตัว (adaptation)
  14. เรากำลังเห็นเงินหายไป 20 ล้านล้านเหรียญ ตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) จะสาหัสยิ่งกว่า เพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือเหมือนสหรัฐอเมริกาและยุโรป
  15. จะมีธุรกิจที่ไม่มีเงินจ่ายหนี้แล้วก็เจ๊งไป ปัญหาคือ ใครจะเป็นฝ่ายได้เช็คสำหรับเอาไปจ่ายหนี้แล้วรอดตัว แม้แต่โรงพยาบาลก็อาจจะเจ๊ง และจะกลับมาไม่เต็มตัว แม้ทุกคนจะต้องการโรงพยาบาลในเวลานี้
  16. ถ้าไล่ดูปัญหาทีละเปลาะ แล้วดูที่กระบวนการแก้ไข จะเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ไวรัสที่เกิดขึ้นแล้วจะหายไป แต่จะมีคนหมดตัว จะมีการเปลี่ยนแปลงของรายได้ เราต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบการเงินใหม่ เราจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
  17. ครั้งนี้หนักหนากว่าปี 2008 มาก ในปี 2008 ปัญหาคือแบงก์กู้มาเยอะ พอกู้มามากเกินแล้วเศรษฐกิจพัง รัฐบาลก็ไม่ยอมให้แบงก์เจ๊ง เลยเอาเงินไปช่วย แต่เที่ยวนี้ซับซ้อนกว่าเยอะ เพราะไม่ใช่แค่แบงก์ที่มีปัญหา ทว่าเป็นธุรกิจน้อยใหญ่ ทุกที่ ทุกหนแห่ง วิกฤตครั้งนี้หนักกว่า นโยบายการเงินใช้ได้ผลน้อยกว่า เพราะทำไปเยอะแล้ว ดอกเบี้ยก็เป็นศูนย์แล้ว
  18. ครั้งนี้เฟดซื้อแต่สินทรัพย์ทางการเงินอย่างเดียวไม่ได้ผล ต้องซื้อหนี้จากรัฐบาลด้วย ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องหากำลังซื้อมาซื้อผลิตผลทางเศรษฐกิจให้ได้ ซึ่งยากกว่าครั้งก่อนเยอะ
  19. บริษัทมีสองแบบ แบบแรกคือไม่ได้มีหนี้มาก ธุรกิจมั่นคง เช่น แคมป์เบล ขายซุปกระป๋อง พวกนี้ไม่มีปัญหา อีกแบบคือพวกนักประดิษฐ์ พวกหลังนี่ถ้าปรับตัวได้ สร้างนวัตกรรมเก่ง และงบดุลไม่แย่ ก็จะผ่านวิกฤต และจะสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้ต่อไป
  20. ถามว่า สมัยนี้มีการใช้อัลกอริธึ่มในการเทรด มันจะส่งผลต่อตลาดอย่างไร ดาลิโอบอกว่า พื้นฐานของอัลกอริธึ่ม คือความสัมพันธ์ระหว่าง “cause กับ effect” ซึ่งเป็นการทำให้คอมพิวเตอร์คิดได้แบบมนุษย์ แต่เป็นการคิดในระดับที่ก้าวหน้ากว่า ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้และตัดสินใจในยุคนี้เหนือกว่าทุกยุคสมัย แต่คุณต้องเข้าใจมันเสียก่อน จึงจะรู้ว่าจะใช้มันให้ถูกต้องได้อย่างไร
  21. สำหรับนักลงทุนทั่วไป สิ่งที่ควรทำคือต้อง “กระจายการลงทุน” (diversify) และต้องกระจายมันให้สมดุล
  22. สิ่งที่นักลงทุนพลาดกันมากที่สุด คือคิดว่าสิ่งที่เคยเวิร์กเมื่อเร็วๆ นี้ จะเป็นการลงทุนที่ดีกว่า และสิ่งที่ไม่เวิร์กเร็วๆ นี้ จะเป็นการลงทุนที่แย่กว่า ที่จริงแล้ว สิ่งที่เวิร์กเร็วๆ นี้ คือสิ่งที่แพงกว่า และสิ่งที่ไม่เวิร์กเร็วๆ นี้ คือสิ่งที่ถูกกว่า ถ้านักลงทุนบุคคลไม่รู้ตรงนี้ ถ้าไม่เข้าใจความมั่งคั่ง (wealth) ในโลก ก็จะลงทุนไม่สำเร็จ
  23. นักลงทุนควรกระจายการลงทุนในหลายๆ วิธี เช่น ในหลายๆ ประเทศ ในหลายๆ ค่าเงิน อาจจะมีทองคำบ้าง มีสินทรัพย์อื่นบ้าง 
  24. อย่าคิดว่าเงินสด คือการลงทุนที่ปลอดภัย “เงินสดคือการลงทุนที่ดึงดูด เพราะไม่ผันผวนมาก” แต่มันจะโดนภาษีและถูกทำลายอำนาจซื้อปีละ 2% “เงินสดเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดเสมอ”
  25. ดาลิโอฝากถึงนักลงทุนทั่วไปอย่างเราๆ ว่า ให้ “กระจายการลงทุนให้ดี ถ่อมตัวเอาไว้ อย่าจับจังหวะตลาด มีสติตระหนักรู้ถึงอันตรายของเงินสดอยู่เสมอ”

Image credit :  Harry Murphy / Web Summit via Sportsfile

นักลงทุนกับวิกฤตโควิด-19 “สงครามยืดเยื้อ” ที่ไม่จบแค่เชื้อโรค

virus-4931227_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ชัดเจนแล้วว่า ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง

เวลานี้ อุตสาหกรรมต่างๆ ล้วนโดนผลกระทบกันถ้วนหน้า ไล่ตั้งแต่ “ด่านหน้า” อย่างสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ ที่จำนวนมากเริ่มทยอย “เลิกจ้าง” คน แต่หากจะว่าไป ต้องบอกว่าแทบไม่มีอุตสาหกรรมไหนไม่ได้รับผลกระทบเลยจึงจะถูก

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศที่โดนไวรัสเล่นงาน หรือแม้จะไม่มีการระบาดรุนแรง ก็ย่อมจะ “เจ็บ” ด้วยไม่มากก็น้อย เพราะในโลกยุคโลกาภิวัตน์ แทบทุกประเทศต่างโยงใยถึงกันหมด

เช่น ประเทศหนึ่งอาจมีคนป่วยน้อย แต่พอเกิดโรคระบาด รายได้จากการส่งออกก็ลดลงฮวบฮาบ เพราะส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักอย่างเมืองไทย ซึ่งหนักหนาสาหัสแน่นอนอยู่แล้ว

สำหรับนักลงทุน ผมมองว่าสิ่งสำคัญ คือต้องเริ่มมองจาก “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” (worst-case scenario) ซึ่งอาจถึงขั้นเกิด Global recession หรือ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก”

หรือเป็นไปได้ว่าอาจรุนแรงเหมือนกับยุค “เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่” (The Great depression) เมื่อปี 1929 คือมีคนตกงานทุกหนแห่ง อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ สูงถึง 25% และบางประเทศสูงถึง 33%

ทั้งนี้เพราะแม้หลายประเทศจะดิ้นรนหามาตรการแก้ไขช่วยเหลือธุรกิจน้อยใหญ่ในชาติของตน รวมทั้งอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือ ECB ที่เพิ่งประกาศไป แต่หากไวรัสโคโรน่าลากยาวไปเป็นปีหรือนานกว่านั้น ก็ย่อมจะมีจุดหนึ่งซึ่งเครื่องมือในการพยุงเศรษฐกิจใช้ไม่ได้ผลอีก หรือทุ่มเงินจนหมดหน้าตักก็ยังทานไม่อยู่

เมื่อครั้งเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เศรษฐกิจโลกหัวทิ่มลากยาวเกือบหนึ่งทศวรรษ ที่แย่หนักคือสามปีแรก ระหว่างปี 1929-1932 ที่ GDP ทั่วโลกติดลบ 15% ต่างจากวิกฤตการเงินปี 2008 ถึง 2009 ที่ GDP โลกลดเพียง 1% เท่านั้น

ถึงจุดนี้ มีแนวโน้มว่าผลกระทบที่ไวรัสโคโรน่าจะมีต่อเศรษฐกิจโลก น่าจะก้าวข้ามวิกฤตการเงินปี 2008-9 ที่เริ่มต้นในสหรัฐฯ ไปไกลลิบ เพราะนี่เป็นวิกฤตที่กระทบถึงคนทุกชาติ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น ผลลัพธ์สุดท้ายจึงอาจคล้ายกับ The Great Depression ที่วนกลับมาอีกครั้ง

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ เมื่อเริ่มจาก “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” แล้วมองย้อนกลับมา ก็จะทำให้รู้จักระแวดระวังมากขึ้น ไม่หลงทุ่มเงินไปกับหุ้นที่กระเด้งกระดอนขึ้นจากข่าวดีชั่วครั้งชั่วคราว โดยวางแผนไปในระยะยาว และเตรียมกระสุน หรือหา “กลยุทธ์หมอบ” ที่น่าจะเหมาะสมที่สุด

กับสงครามยืดเยื้อ ที่จะ “ไม่จบแค่เชื้อโรค” ครั้งนี้

คำแนะนำที่ชัดเจนที่สุดของ ดร.นิเวศน์ ต่อการลงทุนในวิกฤต Covid-19 และราคาน้ำมัน

nives-2018

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมถอดความ การให้สัมภาษณ์ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบแห่งวีไอไทย ในรายการ Suthichai Live ท่านได้พูดถึงการลงทุนในวิกฤต Covid-19 บวกกับราคาน้ำมัน ไว้อย่างชัดเจนมากๆ สรุปไว้เป็นข้อๆ แล้ว ลองอ่านดูนะครับ

  • ประเทศไทย ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องลดดอกเบี้ย แม้จะไม่ถึง 0 โดยการ take action ที่เป็นอยู่นี่ถือว่าช้าแล้ว
  • มาตรการหลายอย่างของทางการไทยถือว่าช้ามาก ขาดความรวดเร็วและการมองไปข้างหน้า
  • สำหรับนักลงทุน อยู่ที่ว่า กล้าคิดต่างแล้วเข้าไปซื้อหรือไม่ ถ้าคิดว่าลงมากเกินไปก็ควรเข้าไปซื้อ นี่คือหลักพื้นๆ
  • แม้กระนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะจิตใจเรามักไม่แข็งแกร่งพอ พอหุ้นลงมาเยอะๆ เราก็จะใจเสีย คิดว่า “หุ้นตายแน่แล้ว”
  • และในเวลาที่คนส่วนใหญ่คิดว่า “หุ้นตายแน่แล้ว” นี่แหละ คือโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะสำหรับพวกวีไอ หรือนักลงทุนระยะยาว
  • แต่ทั้งนี้ ต้องกล้าแล้วตัดสินใจถูกด้วย ถ้ากล้าแล้วตัดสินใจผิดก็ตายอยู่ดี เพราะฉะนั้น จึงต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้ง
  • ให้มองหุ้นที่ราคาตก แต่มั่นใจว่าถือไว้ 2-3 ปีแล้วจะกลับมา
  • ให้มองหุ้นที่เป็นบริษัทหลักๆ สถาบันหลักๆ ของประเทศ เป็นหุ้นที่ถ้าเจ๊ง ประเทศไทยจะอยู่ไม่ได้ พวกนี้ลงทุนได้
  • เวลาจะเข้าซื้อ ต้องใจแข็ง ต้องบอกตัวเองว่า เราเข้าซื้อรอบนี้ ถึงลงต่อเราก็ไม่ขาย จะลงก็ลงไป แต่อย่าลงเงินไปทั้งหมด อย่าทุ่มสุดตัว ไม่งั้นถ้าหุ้นกลับมาช้าเราจะแย่
  • คนที่มีโอกาสดีที่สุดตอนนี้ คือคนที่ไม่มีหุ้นเลย และไม่เคยลงทุน เป็นเวลาดีที่จะเริ่ม
  • ราคาหุ้นบลูชิพหลายตัวเป็นราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นราคาย้อนหลังไปสิบปี หมายความว่า ถ้าคุณลงทุนมาสิบปี มันเอาคืนไปหมดแล้ว
  • เช่น หุ้นตัวใหญ่ๆ หุ้นแบงก์ บางตัว ราคาลงมาครึ่งหนึ่ง ปันผลก็ 6-7% เข้าไปแล้ว ถ้าเรามั่นใจว่าอีก 2-3 ปีมันจะฟื้นขึ้นมาได้ ก็ลงทุนได้เลย (หุ้นพวกนี้ถ้าตัวแกเองมีเงินเยอะจะซื้อแน่ แต่ตอนนี้เหลือเงินน้อย จึงต้องรอให้นิ่งก่อน)
  • อเมริกาหุ้นก็ตกพอๆ กับเรา แต่ที่ต่างกันคือช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นอเมริกาขึ้นมาตลอด ถ้าลงทุนระยะยาวแล้วถือมาเรื่อยๆ ยังไงก็ยังกำไร
  • ต่างจากเมืองไทย ที่ดัชนีหุ้น 7-8 ปี ไม่เคยขึ้นเลย เคยขึ้นไป 1700-1800 แล้วก็ตกลงมา ไม่ไปไหนเลย 7-8 ปี
  • เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเจ็บกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นขึ้นแล้วตก ขณะที่เราไม่ขึ้น แต่เวลาตก ตกเท่ากับเค้า
  • ช่วงวิกฤตซับไพร์ม หุ้นไทยตกจาก 800 เป็น 400 จุด แต่แค่สองปีก็กลับขึ้นเป็น 1010 จุด ซึ่งก็คือจุดที่เป็นอยู่ตอนนี้ เท่ากับว่า เวลาผ่านมาสิบปี เราย้อนกลับไปสู่จุดเดิม ซึ่งเป็นอะไรที่หนักมาก
  • การจะซื้อหุ้นได้หรือยัง ต้องดูพื้นฐานเศรษฐกิจ ดูเรื่องของโควิด แกเชื่อว่าถ้าโควิดดีขึ้น มีความชัดเจนขึ้น ส่วนราคาน้ำมัน เดี๋ยวเค้าคงต้องทำอะไรให้มันปรับขึ้นมา ถึงจุดนั้นหุ้นจะเด้งแน่นอน แล้วคนที่กล้าลงตอนนี้ก็จะได้กำไร
  • แต่หลังจากนั้น เมื่อวิกฤตหายไป เมื่อฝุ่นหายตลบ สิ่งสำคัญก็จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่น่าเสียดายที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมานานหลายปี 5-6 ปี ที่ผ่านมา GDP โตแค่ 3% และจะลดลงอีก ส่วนสำคัญเพราะคนอายุมากขึ้น 
  • นอกจากนี้ เมืองไทยนอกจากคนจะแก่ตัวลงแล้ว ยังไม่มีเศรษฐกิจใหม่ๆ โอกาสเพิ่มประสิทธิภาพจึงยาก
  • ทุกคนถ้ามีเงินเหลือต้องลงทุน อย่าเอาเงินฝากไว้เฉยๆ เพราะการฝากเงินเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนน้อยมาก และสุดท้ายดอกเบี้ยจะลงไปเกือบเป็นศูนย์ ถ้าทิ้งเงินไว้ในแบงก์จะเสียหายเยอะ และเสียหายไปเรื่อยๆ ทุกปี
  • ตอนนี้หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 4% แล้ว หากลงทุนในหุ้นต่อไป ต่อให้ไม่ขึ้น ก็ยังได้ปันผลอาจถึง 5-6% แล้วอย่างนี้จะไม่เอาหรือ?
  • หุ้นใหญ่ๆ ตอนนี้ลงมามาก จนลงต่อได้ยากแล้ว ต้องกล้าเข้า และต้องตัดสินใจเลือกให้ถูก ให้ดูเป็นรายตัว แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ซื้อ SET50 ไปเลย
  • ให้ดูหุ้นที่เจ๊งไม่ได้ เช่น หุ้นโทรศัพท์มือถือ เศรษฐกิจจะตกต่ำยังไง คนก็ต้องใช้ ยิ่งคนออกจากบ้านไม่ได้ ก็ย่ิงต้องใช้โทรศัพท์ ใช้เน็ต รายได้-กำไรจึงไม่น่าจะลด ปันผลตอนนี้ 4-5% หุ้นพวกนี้ถ้าเจ๊ง ตัวเราเองก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเน็ต จะอยู่ได้อย่างไร
  • หรือพวกสาธารณูปโภค พวกธนาคาร พวกนี้ถ้าเจ๊ง ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ แต่ต้องดูปันผลด้วย อย่าไปซื้อหุ้นปันผลน้อยๆ
  • ให้ดูหุ้นเป็นรายตัว เกณฑ์คือ ต้องมั่นคง ไม่ถูกดิสรัป มีความจำเป็น รายได้กำไรไม่ลด ปันผลต้องดี 4% ขึ้นไป อาจไม่ต้องเป็นหุ้นใหญ่มาก แต่เป็นหุ้นหลักของอุตสาหกรรม
  • ไม่ต้องไปมองพันธบัตร ดอกเบี้ยแค่ 2-3% แต่เสี่ยงกว่าซะอีก ยิ่งหุ้นกู้ เศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งไม่รู้บริษัทจะมีปัญญาใช้หนี้เรามั้ย แม้จะให้ดอกเบี้ยดี แต่ไม่รู้ซื้อไปแล้วจะได้เงินคืนมั้ย จะไปซื้อทองก็ไม่มีดอกผล บางทีอยู่ๆ ก็ตก
  • ตัว ดร.นิเวศน์ เองพลาดมาก เพราะเคยมองว่าวิกฤตจะมา จึงทยอยขายหุ้น จนถือเงินสด 20% ปรากฏว่าพอหุ้นไม่ลงสักที ก็คิดว่าวิกฤตไม่มาแล้ว เลยเข้าไปซื้อ พอซื้อแล้ววิกฤตค่อยมา ก็เลยเจ็บตัว
  • แต่ในเมื่อเจ็บตัวแล้ว “จงอย่าเจ็บแบบหายนะ” ตอนนี้ตัวแกเองกำเงินสด 5% ที่เหลือ กำลังรอเข้ารอบสุดท้ายอยู่