โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
หลังจากอืดอาดมาตั้งแต่ต้นปี อยู่ๆ ตลาดหุ้นไทยก็คึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาเฉยๆ ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด
ถึงเวลานี้ เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี ดัชนีขึ้นวันละ 10-20 จุด เป็นเรื่องธรรมดา
มาดูกันนะครับว่า เก้าเดือนที่ผ่านมา “เรามาไกลขนาดไหน”
SET Index นับตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 6 ต.ค. 2560 บวกขึ้นมา จาก 1,542.94 จุด เป็น 1,695.97 จุด
ปรับตัวสูงขึ้น “9.91 เปอร์เซ็นต์”
โดยในช่วงระหว่างวันที่ 6 ต.ค. ได้พุ่งขึ้นทะลุ 1,700 จุด เป็นสถิติใหม่ในรอบกว่า 20 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หรือถ้าจะดูดัชนี SET 100 ก็บวกขึ้นมาถึง 11.66 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังแพ้ SET 50 ที่บวก “12.10 เปอร์เซ็นต์”
จุดสังเกตประการหนึ่งคือ เงินที่ไหลเข้ามา มุ่งไปยัง “หุ้นตัวใหญ่” เป็นหลัก!!
เอาล่ะ ทีนี้ มาเปรียบเทียบการลงทุนประเภทต่างๆ กันบ้างนะครับ
เริ่มจาก Index Fund หรือ “กองทุนอิงดัชนี” ที่ช่วงหลังๆ ผมพูดถึงค่อนข้างบ่อย โดยขอยกเฉพาะ กองทุน SET 50 ซึ่งได้รับความนิยมที่สุดมาให้ดู โดยผมได้ “สุ่ม” เลือกมาสามกอง เพราะไม่ได้ตั้งใจโฆษณาให้กองไหนอยู่แล้ว
กองแรก TMB SET 50 นับจาก 1 ม.ค. ถึง 6 ต.ค. 2560 บวกขึ้นมา “14.98 เปอร์เซ็นต์”
กองที่สอง Krungsri SET 50 LTF บวกขึ้นมา “14.50 เปอร์เซ็นต์”
กองที่สาม K-SET50 บวกขึ้นมา “15.00 เปอร์เซ็นต์”
เรียกได้ว่า “ดีเยี่ยม” แทบจะทุกกองที่สุ่มมา ชนะตัวดัชนีซึ่งเป็น benchmark ได้ถ้วนทั่ว
ทีนี้ มาดูกันต่อไปว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เลือกหุ้นเป็นตัวๆ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยขอยกหุ้นมาแค่ห้าตัว เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ active สักหน่อย ดังนี้นะครับ
เริ่มจาก AOT หุ้นสนามบินสุดฮ็อต นับตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 6 ต.ค. 2560 เพิ่มขึ้นจาก 39.80 เป็น 58.25 บาท (ปรับพาร์แล้ว) บวกมากถึง “46.36 เปอร์เซ็นต์” ตามการกระเตื้องขึ้นของการท่องเที่ยวในประเทศ เรียกได้ว่า เป็น “หุ้นดาวเด่น” แห่งปีเลยก็ว่าได้
ต่อมา CPALL หุ้นที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย ปรับตัวขึ้นจาก 62.5 เป็น 69.00 บาท บวก 10.4 เปอร์เซ็นต์ ชนะดัชนีอยู่นิดๆ แต่แพ้หุ้นตัวใหญ่หลายตัว
สำหรับ MINT อีกหนึ่งเครือธุรกิจอาหาร-โรงแรมยักษ์ใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 35.75 เป็น 41.5 บาท บวก 16.08 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าขึ้นมาเยอะพอสมควร แม้ในอดีตจะเคยวิ่งไปไกลกว่านี้มาแล้ว
และสำหรับหุ้นพลังงานเบอร์หนึ่งของไทยอย่าง PTT ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 372 บาท เป็น 420 บาท บวก 12.9 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ขี้เหร่เช่นกัน
แต่ถ้าท่านเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น BDMS เครือโรงพยาบาลใหญ่ระดับโลก และยังไม่ขายจนถึงตอนนี้ จากราคา 23.10 เมื่อต้นปี ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 20.70 บาท ร่วงลงมา 10.40 เปอร์เซ็นต์ สวนทางตลาดโดยสิ้นเชิง
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หากท่านลงทุนในกองทุนอิงดัชนี ผลตอบแทนที่ได้รับ แทบจะเรียกได้ว่า “เกินเป้า” แต่หากเลือกหุ้นลงทุนเอง ย่อมมีโอกาสทั้งได้และเสีย ซึ่งก็แน่นอนว่าในเวลานี้ “คนเสีย” ย่อมมีน้อยกว่า “คนได้” เพราะหุ้นขึ้นมาเยอะ แต่จะได้มากได้น้อย หรือเสีย ขึ้นอยู่กับฝีมือและจังหวะโอกาสของแต่ละคน
และทั้งหมดคือภาพรวมๆ ของตลาดหุ้นไทยในช่วงสามไตรมาส ส่วนอีกสามเดือนที่เหลือของปี คงไม่มีใครบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ยังไงเสีย ในช่วงเวลาที่กลับมา “ผันผวน” เช่นนี้ เราควรเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมความรู้ไว้ให้พร้อมเอาไว้
เพื่อที่จะตัดสินใจลงมือได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร นั่นเองครับ