โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
หุ้นไทยที่ปรับตัวลงมากว่าสิบเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี ทำเอานักลงทุนจำนวนมากอกสั่นขวัญหาย แม้ผมจะบอกให้นักลงทุนใจเย็นๆ อย่าหวั่นไหวกับราคาหุ้นที่ร่วงลงมาเยอะ แต่ให้ใช้เวลานี้ตั้งสติและเตรียมตัวหาโอกาสเข้าไปเก็บหุ้น ก็มักมีเสียงบ่นกลับมาเสมอว่า “เงินหมดแล้ว” “ไม่มีเงินแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว” ฯลฯ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมอยากให้ “มองบวก” เข้าไว้ การที่ท่านไม่มีเงินสด หรือมีเงินสดเพียงเล็กน้อยอยู่ในมือ นั่นหมายความว่าท่านใช้ “กลยุทธ์ที่ถูกต้อง” มาตลอด
กล่าวคือ ท่าน “ไม่ได้ถือเงินสดไว้เยอะเกินไป”
ลองคิดดูนะครับว่า
หนึ่ง) ตลาดหุ้นไทยเติบโตต่อเนื่องมาหลายปี หากท่านถือเงินสดรอโอกาสไว้ ท่านจะเสียโอกาสไปเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าท่านอยากได้หุ้นสนามบินตัวหนึ่งตั้งแต่กลางปี 2016 หรือเมื่อสองปีที่แล้ว แล้วท่านก็ถือเงินสดรอไว้ อะไรจะเกิดขึ้น?
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จากวันนั้นถึงวันนี้ หุ้นสนามบินตัวดังกล่าว ราคาสูงขึ้นจากประมาณ 450 บาท มาอยู่ที่ 670 บาท ณ ปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นมาเกือบ 50% ซึ่งต่อให้ครั้งนี้เกิดวิกฤตจริง ก็ไม่แน่ว่าหุ้นสนามบินตัวนี้จะราคาตกลงไปถึง 50%
ดังนั้น ถ้าท่านเข้าซื้อหุ้นสนามบินตั้งแต่เวลานั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่าการรอจนถึงวันนี้แล้วค่อยซื้อ
สอง) แม้กระทั่ง “ต้นแบบแห่งวีไอไทย” อย่าง ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ยังพูดอยู่บ่อยครั้งว่า ตัวท่านได้ลดการถือหุ้นมาถือเงินสดอยู่หลายปี ซึ่งทำให้เสียโอกาสไปไม่น้อย ช่วงหลังๆ จึงทยอยเอาเงินกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
หากแม้แต่นักลงทุนหมายเลขหนึ่งยังรู้สึกเสียดายที่ตัวเองถือเงินสดไว้ ท่านก็ไม่ควรโทษตัวเองหากวันนี้qไม่มีเงิน
สาม) อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว คือ สมัยเริ่มแรกที่ผมลงทุนเมื่อสิบกว่าปีก่อน นักลงทุนเน้นมูลค่าจำนวนมาก นิยมที่จะถือ “หุ้น 100%” ด้วยซ้ำไป แม้ในช่วง 2-3 ปีหลัง ดัชนีจะพุ่งขึ้นมาทะลุ 1,800 จุด แต่จากที่ผมได้พูดคุยกับเพื่อนฝูงซึ่งฝีมือลงทุนระดับท้อปหลายคน ต่างคนต่างก็พูดตรงกันว่า ไม่เคยถือเงินสดเกิน 30 เปอร์เซ็นต์เลย (ผมเองก็ไม่เคยถือเงินสดเงิน 20 เปอร์เซ็นต์)
ดังนั้น ถ้าท่านมีเงินสดไม่เกิน 30% ผมก็ยืนยันโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ได้ว่า ท่านไม่ได้แตกต่างจากคนเก่งๆ อีกจำนวนมาก
โดยสรุปก็คือ หากวันนี้ท่านไม่มีเงินสดหรือมีเงินสดในมือเพียงเล็กน้อย ท่านต้องอย่าโทษตัวเอง เพราะท่าน “ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
สิ่งที่ควรทำ ณ ตอนนี้ คือเลิกเสียดายสิ่งที่ผ่านพ้นไป แต่จงขวนขวายหาเงินสดมาเพิ่มให้ได้
บางคนอาจเถียงในใจว่า “ก็กูบอกอยู่นี่ว่าไม่มีเงิน จะให้ไปหาเงินจากไหน?!!”
ผมขอเสนอว่า ให้ท่านคิด “เสมือนคนจนตรอก” เช่นคิดว่า “ถ้าเรากำลังป่วยหนัก ต้องหาเงินมารักษา ไม่งั้นจะตาย เราจะหาเงินมาจากไหน?” หากคิดเช่นนี้ สุดท้ายแล้วท่านจะหาทางออกจนพบ คือหาเงินมาซื้อหุ้นจนได้
ฝรั่งเค้าบอก “Where there is a will, there is a way” ที่ไหนมีฝัน ที่นั่นมีหนทาง คนเราถ้าพยายามเพียงพอ ก็ย่อมจะหาทางออกได้ทุกเรื่อง
ขอแสดงความยินดีกับผู้โชคดีทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ครับ