สาเหตุที่ “อีลอน มัสก์” รวยกว่าปู่

IMG_0109

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ความรวยของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ร่วงกราวรูด ในอันดับคนรวยที่จัดโดย Bloomberg (Bloomberg Billionaire Index)

โดยล่าสุด ปู่ถูก อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนวัตกรสติเฟื่อง แซงหน้าไปเป็นที่เรียบร้อย หลังจากหุ้นเทสล่าพุ่งกระฉูดถึง 11% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้มัสก์รวยขึ้น 6,100 ล้านเหรียญในวันเดียว และเป็นการพุ่งขึ้นถึง 269% ในหนึ่งปี

ล่าสุด มัสก์กลายเป็นคนรวยอันดับ 7 ของโลก

ก่อนหน้านี้ มัสก์เคยแขวะปู่อยู่หลายครั้ง ล่าสุดบอกว่า งานที่ปู่ทำนั้นโคตรน่าเบื่อ และด้วยนิสัยชอบเอาชนะของเขา ทำให้หลายคนมองว่าเขาน่าจะชอบใจที่รวยแซงหน้าปู่ได้

และไม่ได้แซงแค่ปู่เท่านั้น มัสก์ยังแซง สตีฟ บอลล์เมอร์ อดีต CEO ของไมโครซอฟท์, ลาร์รี เพจ – เซอร์เกย์ บริน แห่งกูเกิล และลาร์รี เอลลิสัน แห่งออราเคิล รวมทั้ง มูเคช อัมบานี มหาเศรษฐีอินเดียด้วย

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจนึกในใจว่า “เห็นมั้ยๆ ปู่ตกยุคแล้วจริงๆ” อันดับความรวยจึงร่วงลงจนเกือบจะหลุด top10 ด้วยซ้ำ

แต่ช้าก่อน !! ต่อไปนี้คือเหตุผลหลักที่ทำให้ปู่จนลง

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ปู่เพิ่งบริจาคหุ้นเบิร์คเชียร์อีก 2,900 ล้านเหรียญ (เกือบ 9 หมื่นล้านบาท) ให้การกุศล ตาม “คำมั่นเปลี่ยนโลก” (giving pledge) ของเขา รวมๆ แล้ว ปู่แจกหุ้นให้การกุศลเป็นมูลค่าถึง 37,000 ล้านเหรียญ (เกือบ 1.15 ล้านล้านบาท) เข้าไปแล้ว

คงไม่ต้องบอกว่าถ้าปู่ไม่ “บริจาค” มาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน เงินจำนวนดังกล่าวจะทบต้นกลายเป็นเท่าไรในปัจจุบัน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือมนุษย์ที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้จริงๆ


ข้อมูลประกอบจากเว็บ Bloomberg

 

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำ DCF อย่างไร

Warren_Buffett_at_the_2015_SelectUSA_Investment_Summit

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลกพูดเสมอว่า ในการค้นหาธุรกิจเพื่อเข้าลงทุน เขามักใช้การ “คิดลดกระแสเงินสด” ภาษาอังกฤษคือ Discounted Cash Flow หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “DCF” เป็นเครื่องมือหลัก

ปู่กล่าวไว้เมื่อปี 1991 ขณะไปสอนนักศึกษาปริญญาตรีที่นอเทรอดาม โดยบอกว่า

งานของผม คือการมองหาจักรวาลของสิ่งที่ผมเข้าใจ .. แล้วจึงหากระแสเงินสดที่เข้าและออก ว่าในระยะยาวมันจะเป็นอย่างไร .. จากนั้นจึงคิดลดกลับมา ณ อัตราที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นไปตามอัตราพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาล ผมจะพยายามซื้อมันในราคาที่ต่ำกว่านั้นมากๆ ทั้งหมดก็มีประมาณนี้ โดยทฤษฎีแล้ว ผมทำเช่นเดียวกันหมดกับทุกๆ ธุรกิจทั่วโลกที่ผมเข้าใจมันได้

สิ่งที่ปู่พูดมา ก็คือขั้นตอนในการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF นั่นเอง

หนึ่งในกรณีศึกษาที่ปู่ใช้ DCF เพื่อเข้าลงทุน อันเป็น success story ที่เล่าขานกันต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ คือการซื้อหุ้นบริษัท วอชิงตัน โพสต์ หรือ WPC เจ้าของหนังสือพิมพ์เก่าแก่ของประเทศในปี 1973 หรือเมื่อ 45 ที่แล้ว

ในเวลานั้น บัฟเฟตต์บอกว่า เขาคำนวณ “มูลค่าโดยเนื้อแท้” หรือ intrinsic value ของบริษัทออกมาได้ 400-500 ล้านเหรียญ แต่ราคาตลาดของทั้งบริษัทเวลานั้นอยู่ที่ประมาณ 80-100 ล้านเหรียญ นั่นเท่ากับว่าตลาดหุ้นเอาบริษัทมาเสนอขายในราคาราวๆ “1 ใน 4” หรือ “1 ใน 5” ของมูลค่าแท้จริง

เมื่อรู้อย่างนี้ บัฟเฟตต์จึงกระโดดเข้าไปซื้อทันที โดยใช้เงินไป 10.6 ล้านเหรียญ เก็บหุ้นของบริษัทได้เกือบ 10%

หลังจากเข้าซื้อ ราคา WPC ก็ร่วงลงไปอีก จนปู่ขาดทุนไปกว่า 20% ทั้งๆ ที่กิจการยังคงเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คำกล่าวที่ว่า “คุณตลาดบ้าๆ บอๆ แต่เขาไม่ใช่คนโง่” ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาจนได้ เพราะหลังจากรออยู่นานถึงหนึ่งปีครึ่ง ตลาดก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดพลาดในการตั้งราคาสถาบันสื่อเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์จากคดีวอเตอร์เกทรายนี้ ราคาของมันจึงค่อยๆ ไต่ระดับกลับสู่มูลค่าแท้จริง

ในปี 1985 มูลค่าหุ้น WPC ในมือเบิร์คเชียร์ เพิ่มขึ้นจาก 10.6 ล้านเหรียญ เป็น 221 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 21 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การประเมินมูลค่ากิจการของปู่ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดนั้น ถูกต้องทุกประการ

และนี่คือตัวอย่างการทำ DCF สไตล์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่คนอยากเป็น “วีไอพันธุ์แท้” ควรศึกษาไว้อย่างยิ่ง


** สนใจหลักสูตร DCF หุ้นโรงพยาบาล คลิกที่นี่

** สนใจหลักสูตร Valuation & DCF สอนประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF แบบเชิงลึกโดย Club VI คลิกที่นี่

“ลูกอาจารย์” เตือน กลัวมากระวังตกรถ

Ken_Fisher

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

เคนเน็ธ ฟิชเชอร์ ผู้จัดการกองทุนระดับมหาเศรษฐี ลูกชายแท้ๆ ของฟิลลิป ฟิชเชอร์ ซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยกให้เป็นหนึ่งในสองแม่แบบในการลงทุนของเขา นอกเหนือจากเบนจามิน แกรแฮม ออกมาเตือนนักลงทุนว่า ระวัง “การมองโลกในแง่ร้าย” จะทำให้พลาดตกรถด่วนขบวนสำคัญ

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ในวันที่ 22 พ.ค. ฟิชเชอร์เขียนบทความระบุว่า เขาคิดว่าเป็นไปได้ที่ “ตลาดกระทิงครั้งใหม่” จะเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่หุ้นดิ่งลงไปแตะจุดต่ำสุด ก่อนจะหักหัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดสองเดือนนับถึงเวลานั้น

นักลงทุนผู้เป็น “ลูกอาจารย์” ของบัฟเฟตต์บอกว่า นักลงทุนจำนวนมากรอคอย “ความชัดเจน” ทว่าตลาดหุ้นไม่เคยรอคอยความชัดเจน แต่มักจะโกยอ้าวไปล่วงหน้าเสมอ

“‘ความชัดเจน’ คือหนึ่งในคำที่ต้นทุนสูงที่สุด หุ้นไม่เคยรอคำๆ นั้นเลย แต่นักลงทุนกลับเฝ้ารอมัน ผลกำไรมหาศาลในช่วงเริ่มต้นจึงผ่านหน้านักลงทุนส่วนใหญ่ไป เพราะนัยน์ตาของพวกเขามืดบอดจาก ‘การคิดลบเพราะความไม่เชื่อ’ จงอย่าเป็นหนึ่งในนั้น”

ผ่านมาอีกสามสัปดาห์ ในวันที่ 18 มิ.ย. นักลงทุนปากตะไกรออกมาฟันธงอย่างชัดเจนไว้ในบทความของตัวเองว่า “23 มีนาคม” ที่ตนเองเคยตั้งข้อสงสัยไว้นั้น เป็น “ตลาดกระทิงครั้งใหม่” อย่างแน่นอน

“ตลาดกระทิงรอบใหม่นี้ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม เมื่อตลาดกระทิงเริ่มต้น ก็เป็นไปได้สูงที่มันจะวิ่งไปยาวๆ เพราะถูกขับเคลื่อนโดย ‘การคิดลบเพราะความไม่เชื่อ'”

โดยฟิชเชอร์ได้อธิบายถึงหลักคิดที่เขาเรียกว่า “การคิดลบเพราะความไม่เชื่อ” (Pessimism of Disbelief) ว่า ในเวลาที่ทุกอย่างดูเลวร้าย ใครต่อใครต่างพากันมองโลกในแง่ลบ แม้จะมีข่าวบวกออกมา ก็ยังถูกปั่นให้กลายเป็นข่าวลบไปได้

แต่ภาวะนี้เอง คือช่วงเวลาที่ “ตลาดหมี” จะหลีกออก และเปิดทางให้ “ตลาดกระทิง” เข้ามาแทนที่

ครั้นตลาดกระทิงก่อตัวขึ้น มันกำลังบอกคนที่คิดลบว่า “แกผิด แกผิด แกผิด” ส่วนคนที่คิดลบก็เถียงกลับไปว่า “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด” และหาเหตุมายืนยันความเชื่อของตัวเอง เช่น ถ้าเขาขายหุ้นตัวหนึ่งทิ้งไป แล้วหุ้นตัวนั้นตก เขาก็จะบอกว่า “เห็นหรือยังว่าฉันคิดถูก!” ทั้งที่จริงมันคือความบังเอิญ

ลูกชายของนักลงทุนระดับตำนานกล่าวต่อไปว่า ภาวะเช่นนี้ เป็นการ “สร้างกำแพง” ที่ตลาดกระทิงรอบใหม่ต้อง “ปีนข้าม” ไปให้ได้ แต่อารมณ์เชิงลบเช่นนี้กลับยิ่งเป็นผลดีต่อตลาด

เพราะเมื่อทุกคนคิดลบ พอมี “ข่าวดี” ที่เหนือความคาดหมายปรากฏออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ตลาดจะยิ่งวิ่งห้อตะบึงเป็นทวีคูณ อาทิ ตัวเลขการว่างงานที่ออกมาดีกว่าที่คาดเมื่อปลายเดือน พ.ค. (เหมือนคนกำลังกระหายสุดๆ แล้วได้น้ำมากินสักแก้ว จะชื่นใจยิ่งกว่าคนที่กินน้ำแก้วเดียวกันขณะนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ – ชัชวนันท์)

ฟิชเชอร์บอกว่า หลัก “การคิดลบเพราะความไม่เชื่อ” ของเขา เป็นไปตามทฤษฎี “ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน” (confirmation bias) ซึ่งเป็นทฤษฎีจิตวิทยาที่บอกว่า คนเรามักเลือกตีความข้อมูลเพื่อตอกย้ำสิ่งที่ตัวเองเชื่ออยู่ก่อนแล้ว

ฟิชเชอร์ปิดท้ายว่า ไม่มีใครรู้ว่าหรอกว่า ตลาดขณะนี้ ตั้งราคาล่วงหน้า (pre-pricing) ให้กับหุ้นทั้งตลาดไปนานแค่ไหน อาจจะ 20 หรือ 30 เดือนก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ คือ มัน “โนสน โนแคร์” ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือน ส.ค. หรือ ต.ค. นี้อย่างแน่นอน

มุมมองของฟิชเชอร์ ถือว่าไม่สอดคล้องกับการกระทำของ “ลูกศิษย์พ่อ” อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ขายหุ้นแบงก์ทิ้งเป็นจำนวนมาก ทั้งยังเก็บเงินสดไว้บานตะไทโดยไม่ยอมซื้ออะไร โดยฟิชเชอร์บอกว่าบัฟเฟตต์ “แข็งทื่อ” เพราะ “อายุมากแล้ว”

นอกจากนี้ มุมมองของเขายังไม่สอดคล้องกับเพื่อนร่วมวงการอีกหลายคน อาทิ โฮเวิร์ด มาร์กส์ ผู้จัดการกองทุนสายวีไอพันธุ์แท้ ซึ่งความร่ำรวยถือว่าสูสีกับฟิชเชอร์ ที่บอกว่า เขาห่วงว่าธนาคารกลางอาจจะอุ้มตลาดต่อไปไม่ไหว และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เข้าทำนอง “น้ำลด-ตอผุด” ได้

หากเทียบความมั่งคั่งกัน จะพบว่าฟิชเชอร์เหนือกว่ามาร์กส์อยู่เล็กน้อย โดยข้อมูลจาก Forbes ระบุว่า ในปี 2020 ฟิชเชอร์มีความมั่งคั่ง 3,900 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 468 ของโลก ส่วนมาร์กส์มีความมั่งคั่ง 2,200 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 945 ของโลก


ข้อมูลประกอบ : บทความใน Linkedin ของ เคน ฟิชเชอร์ คลิกที่นี่, ข่าวจาก caixingglobal คลิกที่นี่

อ่านบทความเดิมเกี่ยวกับฟิชเชอร์  “ลูกอาจารย์ฟันธง บัฟเฟตต์พลาดเพราะแก่” ที่นี่

อ่านบทความเกี่ยวกับโฮเวิร์ด มาร์กส์ “โฮเวิร์ด มาร์กส์ เตือนแรง ระวังเฟดอุ้มตลาดไม่ไหว” ที่นี่