
โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
โฮเวิร์ด มาร์กส์ เล่าว่า เมื่อปี 1978 เจ้านายของเขาที่ซิตี้แบงก์โทรศัพท์มาหา โดยสั่งให้ไปศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “หุ้นกู้ผลตอบแทนสูง” (high-yield bond) ซึ่งในเวลานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก มาร์กส์จึงไปหาข้อมูล และพบว่า มันคือหุ้นกู้ของบริษัทที่สถานะไม่สู้จะดี ไม่เป็นที่โปรดปรานของตลาด ได้อันดับเครดิตแย่ แต่ให้ผลตอบแทนในระดับสูง เมื่อเทียบกับหุ้นกู้ของบริษัทที่แข็งแกร่ง
มาร์กส์บอกว่า ถ้าเราซื้อหุ้นกู้ประเภท “ทริปเปิ้ล A” (AAA) ซึ่งใครๆ ต่างคิดว่ามันดี ทุกอย่างดูดีไปหมด นั่นแปลว่าทิศทางเดียวที่มันมีโอกาสจะมุ่งไป คือ “แย่ลง” มันอาจจะไม่แย่ก็ได้ แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น มันย่อมไม่มีโอกาสจะดีขึ้นอีกแล้ว เพราะมันดีที่สุดแล้ว
ในทางตรงข้าม ถ้าคุณซื้อหุ้นกู้ของบริษัทที่เป็น “ซิงเกิล B” และเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ทางเดียวที่เป็นไปได้คือได้รับการ “upgrade” ขอเพียงบริษัทนั้นไม่ล้มละลาย ถ้ามันรอดได้ ความเป็นไปได้ประการเดียวคือ “ขึ้น” เท่านั้น
มหาเศรษฐีวีไออธิบายต่อว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นกู้ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ โอกาสพลาดครั้งใหญ่ หรือโอกาสที่มันจะกลายเป็น “big loser” ถือว่ามีน้อยมาก เพราะความคาดหวังแย่ๆ ถูกรวมเข้ามาในราคาจนหมดแล้ว
เขาเล่าต่อไปว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การลงทุนที่ดี คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี หรือในบริษัทที่ดี ซึ่ง “ผิดถนัด” สุดยอดผู้จัดการกองทุนผู้นี้บอกว่า คำกล่าวที่ว่า “ถ้าคุณชอบสินค้าของบริษัทไหน ก็ซื้อหุ้นของบริษัทนั้นซะ” ถือว่าผิดที่สุดเท่าที่จะผิดได้แล้ว
มาร์กส์ชี้ชัดว่า ส่ิงสำคัญที่สุดที่จะตัดสินความสำเร็จในการลงทุน ไม่ได้อยู่ที่ “สิ่งที่คุณซื้อ” แต่อยู่ที่ “ราคาที่คุณจ่ายไป” ต่อให้คุณซื้อสินทรัพย์คุณภาพเยี่ยม แต่จ่ายแพงเกินไป คุณก็มีโอกาสเจ็บหนักได้ แต่ถ้าคุณซื้อสินทรัพย์คุณภาพต่ำ โดยจ่ายต่ำกว่ามูลค่าของมัน คุณก็มีโอกาสทำเงินได้สูง
นักลงทุนมากมาย เคยลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยมอย่าง โคคาโคล่า, IBM, P&G, AIG ในปี 1968 ณ P/E 80 หรือ 90 เท่า และเจ๊งย่อยยับถึง 90% ก็เพราะการซื้อแพงเกินไปนี้
มาร์กส์อ้าง “ประกาศิตสองประการ” จาก “Security Analysis” หนังสือที่เปรียบประดุจคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งการลงทุน
ประการแรกคือ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “มูลค่า” คุณต้องหามูลค่าให้เป็น จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
ประการที่สองคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างราคากับมูลค่า” ถ้าคุณซื้อแพงกว่ามูลค่า คุณจะเดือดร้อนแน่ๆ แต่ถ้าคุณสามารถหามูลค่าออกมาได้ แล้วเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่านั้น มาร์กส์บอกว่าคุณก็ชนะไปแล้วครึ่งตัว
ต่อมา สิ่งที่มาร์กส์ทำก็คือ หันมาเน้นลงทุนใน “หุ้นกู้ผลตอบแทนสูง” โดยให้เกณฑ์กับลูกน้องไว้ง่ายๆ ว่า ให้คัดหุ้นกู้ที่มีโอกาสเจ๊งออกไป เพื่อปิดโอกาสในการสูญเงินทั้งหมด แล้วเลือกลงทุนในหุ้นกู้ผลตอบแทนสูงของบริษัทที่ไม่มีโอกาสเจ๊ง โดยไม่ต้องสนใจว่าบริษัทจะมี “ข่าวดี” หรือไม่ หรือจะถูกมองแย่ขนาดไหนจากบริษัทจัดอันดับเครดิต
เทพวีไอผู้นี้สรุปว่า จงเอาตัวเองไปอยู่ในเขตแดนซึ่งสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้น คือ “ความประหลาดใจในทางบวก” เท่านั้น แล้วคุณจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
เรียกได้ว่าเดินตามตำรา “วีไอ” แท้ๆ จนร่ำรวย
** สนใจหลักสูตร Valuation & DCF สอนประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF แบบเชิงลึกโดย Club VI คลิกที่นี่
หมายเหตุ : โฮเวิร์ด มาร์กส์ เป็นนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนที่ได้รับการยอมรับนับถือที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เขาทำผลตอบแทนทบต้นได้ถึง 19% ต่อปีจากการบริหารกองทุน Oaktree Capital Management เป็นเวลาหลายสิบปี โดยความมั่งคั่งปัจจุบันของเขาอยู่ที่ 2,200 ล้านเหรียญ เป็นอันดับที่ 370 ใน Forbes 400 ซึ่งเป็นอันดับคนรวยที่สุดของสหรัฐฯ
มาร์กส์เป็นที่รู้จักมากที่สุดจาก “เมโม” ซึ่งเขาเขียนถ่ายทอดความรู้และมุมมองต่อการลงทุนและเศรษฐกิจไว้ในเว็บไซต์ แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเคยบอกว่า “เวลาผมเห็นเมโมของโฮเวิร์ด มาร์กส์ ในกล่องจดหมาย มันเป็นสิ่งแรกที่ผมจะเปิดอ่าน และผมก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เสมอ”
แหล่งที่มา : คลิปบรรยาย “The Most Important Things – Origins and Inspiration | Talks at Google” ทาง Youtube
Image credit : Facebook Page “Howard Marks” Facebook.com/HowardMarksBooks
ย้อนอ่านตอนก่อนหน้านี้:
Howard Marks The Series
#1 :โฮเวิร์ด มาร์กส์ เตือนแรง ระวังเฟดอุ้มตลาดไม่ไหว คลิกที่นี่
#2 :เพราะเหตุใดเราจึงควรฟังคำเตือนของโฮเวิร์ด มาร์กส์ คลิกที่นี่
#3 : อย่ามองใครว่าถูกต้องด้วยเหตุผลที่ผิด คลิกที่นี่
#4 : “ทำไมคนที่คิดถูกเสมอจึงไม่รวย” มุมคิดคมๆ จากโฮเวิร์ด มาร์กส์ คลิกที่นี่
#5 : “คุณรู้จักตัวเองหรือยัง” คำถามจากโฮเวิร์ด มาร์กส์ คลิกที่นี่