หลักสูตร Valuation & DCF ออนไลน์ (new) !!

IMG_8950

สิ้นสุดการรอคอย! กับหลักสูตร Valuation & DCF โดย Club VI ครั้งแรกในรูปแบบออนไลน์ สมัครระหว่าง 21 – 23 มิ.ย. 2563 ลดเหลือเพียง “1,949 บาท” เท่านั้น!!

หลักสูตร Valuation & DCF ที่ถือเป็นคอร์สสัมมนา “signature” ของ Club VI มีผู้เข้ารับการอบรมมาแล้วเกือบหนึ่งพันคน จัดมาแล้ว 9 รุ่น วันนี้พร้อมให้ท่านรับชมในรูปแบบออนไลน์เป็นครั้งแรกทางกลุ่มปิด Facebook .. สะดวก เข้าใจง่าย ดูซำ้กี่รอบก็ได้ ในราคาประหยัดสุดๆ

“นี่คือหลักสูตรประเมินมูลค่าหุ้นที่ครอบคลุมและเจาะลึกที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเมืองไทย พร้อมวิธี DCF แบบจัดเต็ม!!” 

<< ทำไมเราจึงต้องประเมินมูลค่าหุ้นและทำ DCF ให้เป็น >>

หากต้องการลงทุนในแนว “วีไอ” หรือการลงทุนเน้นมูลค่า การรู้ “มูลค่าหุ้น” ย่อมเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อที่จะ “ได้กำไรตั้งแต่เข้าซื้อ” มิเช่นนั้นก็ยากที่จะตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้อง

นักลงทุนที่ดีจึงต้องเรียนรู้หลักการและวิธี “ประเมินมูลค่าหุ้น” ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น “โมเดลการคิดลดเงินปันผล” หรือ DDM แต่ที่ได้รับการยอมรับที่สุด คงหนีไม่พ้น “การคิดลดกระแสเงินสด” หรือ DCF ซึ่งเป็นวิธีที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลกบอกว่าเขาใช้ในการหามูลค่าหุ้นเพื่อเข้าลงทุน โดยทั้งสองวิธีได้ถูกถ่ายทอดไว้แล้วในหลักสูตรนี้ (ดูรายละเอียดเนื้อหาทั้งหมดด้านล่าง)

ความยาว 5 ชั่วโมง 47 นาที ราคาเต็ม 2,499 บาท

พิเศษ สมัครระหว่าง 21 – 23 มิ.ย. 2563 ลดเหลือเพียง “1,949 บาท” เท่านั้น!! (ถูกลง 550 บาท) 

** หลักสูตรนี้ ผู้เรียนควรมีพื้นฐานเบื้องต้นในระดับหนึ่ง เช่น รู้จักผลตอบแทนทบต้น, อ่านงบการเงินพอเข้าใจ หากไม่มีพื้นฐาน แนะนำให้สมัครหลักสูตร  “พื้นฐานการลงทุนเน้นมูลค่า” (VI 101) และ “อ่านงบการเงิน” (VI 201) อีกสองคอร์ส โดยจ่ายเพิ่มเพียง “999 บาท” ** (ดูรายละเอียดเนื้อหาทั้งหมดด้านล่าง)

สนใจสมัครได้เลย และรอรับ invite เข้ากลุ่มทันที

<< วิธีสมัคร >>

1. โอนเงินเข้าบัญชี บริษัท คลับ วีไอ จำกัด สาขา คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) มีสามธนาคาร ดังต่อไปนี้

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่: 066-705774-9
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บัญชีออมทรัพย์ เลขที่: 996-2-06200-5
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บัญชีออมทรัพย์ เลขที่: 404-486287-4

2. ส่งสลิปมาที่ clubvidotcom@gmail.com โดยระบุ

1) หลักสูตรที่ต้องการสมัคร หากสมัคร “Valuation & DCF” หลักสูตรเดียว ให้ระบุว่า “สมัคร DCF” และหากสมัครหลักสูตร VI 101 + VI 201 ด้วย ให้ระบุ​ว่า “สมัคร 3 คอร์ส”

2) ชื่อ Facebook account ที่ท่านจะใช้ชมคอร์สนี้

3. รอการตอบกลับและรับเอกสารประกอบการเรียนทางอีเมล

มีข้อสงสัย กรุณาสอบถามได้ที่ clubvidotcom@gmail.com หรือ Inbox เพจ Club VI

** ผู้เรียนต้องเป็นผู้ใช้ facebook  account นั้นเพียงคนเดียว หากพบว่าเป็น facebook ที่ใช้กันหลายคน ทีมงานขออนุญาตโอนเงินคืนและยกเลิกสถานะค่ะ **

 

<< เนื้อหาสำคัญของหลักสูตร Valuation & DCF >>

  • เข้าใจการประเมินมูลค่า
  • แนวคิดและคอนเซ็ปต์พื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นตามหลักวีไอ
  • แนะนำการประเมินมูลค่าหุ้นในแนวทางต่างๆ
  • รู้จักการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธีคิดลด
  • รู้จักและทำความเข้าใจ “การคิดลด” (discounting)
  • หา “อัตราคิดลด” (discount rate) สอนท่านหาอัตราคิดลดให้เป็น เพื่อใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้นทุกวิธี
  • การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี “คิดลดเงินปันผล” (DDM) สอนวิธีทำ DDM อย่างละเอียด ให้ท่านประยุกต์ใช้กับ “หุ้นปันผล” ที่หมายตาไว้ได้ทันที
  • การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี “คิดลดกระแสเงินสด” (DCF) โดยเราจะสอนท่านทำ DCF แบบจัดเต็ม พร้อมตัวอย่างและเอกสารประกอบ ให้ท่านทำเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ สามารถประยุกต์ไปใช้กับหุ้นที่ท่านสนใจได้ทันที

เนื้อหาสำคัญของหลักสูตร VI 201 อ่านงบการเงิน อ่านได้ ที่นี่

เนื้อหาสำคัญของหลักสูตร VI 101 พื้นฐานการลงทุนเน้นมูลค่า อ่านได้ ที่นี่


 

 

13342986_1008396502590634_5290222225672131225_n

ผู้บรรยาย  

สอนและบรรยายเสียงโดย คุณชัชวนันท์ สันธิเดช ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Club VI, นักลงทุน, นักพูด, นักเขียน-นักแปลด้านการลงทุน ประสบการณ์ในการลงทุน 17 ปี เป็นผู้เขียนคอลัมน์ Value Way ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ มีผลงานเขียนและแปลหนังสือลงทุนมาแล้วกว่า 35 เรื่อง เช่น หนังสือ “เรียนบัญชีกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์” (Best Seller), หนังสือ “ลงทุนอย่างวีไอพันธุ์แท้” (Best Seller), หนังสือ “ลงทุนอย่างวีไอพันธุ์แท้ #2: วัดพลังหุ้น” (Best Seller), หนังสือแปล “ลงทุนอย่างวีไอในตลาดไซด์เวย์”, หนังสือ “ลงทุนหุ้นอย่างไร กำไรตั้งแต่ซื้อ”, หนังสือแปล “Tap Dancing to Work” , หนังสือแปล “พ่อรวยสอนลูก #2: เงินสี่ด้าน” (Best Seller), หนังสือแปล “บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ” (Best Seller) ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเป็นวิทยากรให้กับบริษัทเอกชนและองค์กรการศึกษาหลายสิบแห่ง และได้รับเชิญไปถ่ายทอดความรู้ผ่านรายการโทรทัศน์และสื่อต่างๆ จำนวนมาก

“วิถีอีแร้ง” รวยจากหุ้นบริษัทล้มละลาย

plane-841441_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมเพิ่งแปลหนังสือเรื่อง You Can Be A Stock Market Genius ของ โจเอล กรีนแบล็ตต์ นักลงทุนสมองเพชร ผู้คิดค้น Magic Formula เขาพูดไว้เกี่ยวกับ “หุ้นของบริษัทล้มละลาย” ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจมากๆ จนอดไม่ได้ที่จะเอามาเล่าต่อ

บริษัทส่วนใหญ่ที่ล้มละลาย มักเกิดจากสาเหตุหลักๆ ไม่กี่สาเหตุ เช่น ธุรกิจย่ำแย่ บริษัทขยายธุรกิจมากเกินไป หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว บางบริษัทมี สหภาพแรงงาน คอยกัดกินผลประโยชน์จนองค์กรล่มสลาย

จริงอยู่ การซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่กำลังยื่นขอล้มละลายไม่ใช่ไอเดียที่ดีแน่ๆ เพราะผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ล้มละลาย จะอยู่ในลำดับสุดท้ายที่จะได้เงิน ถัดจากลูกจ้าง ธนาคาร ผู้ถือหุ้นกู้ เจ้าหนี้การค้า (เช่น ซัพพลายเออร์) และสรรพากร

เรียกได้ว่า อาจจะไม่เหลืออะไรติดไม้ติดมือเลยก็ได้

ตามกฏหมายล้มละลายของสหรัฐฯ จะมี “มาตรา 11” หรือ chapter 11 ที่ให้ความคุ้มครองทางกฏหมายแก่ธุรกิจ ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ระหว่างเจรจาหาข้อตกลงกับเจ้าหนี้ (ล่าสุดได้ยินข่าวว่ากำลังมีข้อเสนอให้ใช้ลักษณะเดียวกับมาตรา 11 กับการยื่นล้มละลายของรัฐวิสาหกิจชื่อดังในประเทศไทยเช่นเดียวกัน)

แม้หุ้นสามัญของบริษัทล้มละลายจะไม่ใช่ตัวเลือกในการลงทุนที่ดี แต่เราสามารถ “หาโอกาสลงทุน” ในช่วงที่การยื่นขอล้มละลายเกือบจะได้ข้อสรุปเรียบร้อย และผู้บริหารคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตออกมาได้แล้ว

กล่าวคือ บริษัทล้มละลายโดยทั่วไปมักไม่มีเงินสดเหลือมากนัก ในขณะที่ผู้ถือหุ้นกู้ (ไม่ด้อยสิทธิ์) มักได้รับเงินสดบางส่วน แต่ผู้ถือหุ้นสามัญส่วนใหญ่มักได้แค่วอร์แรนต์ หรือ “หุ้นใหม่” ของบริษัท ที่ตั้งขึ้นมาหลังบริษัทเก่าล้มละลาย

โอกาสของคุณ คือการวิเคราะห์หุ้นสามัญของ “บริษัทใหม่” นี้ ก่อนที่มันจะเข้าเทรดในตลาด โดยคุณควรอ่านข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกระบวนการยื่นขอล้มละลาย ผลงานในอดีตของบริษัท และโครงสร้างเงินทุนใหม่ ซึ่งจะยื่นต่อ กลต. ในเอกสารที่มีชื่อว่า “แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์” (registration statement)

เอกสารชุดนี้ จะมี “ประมาณการธุรกิจในอนาคต” ของผู้บริหารรวมอยู่ด้วย พูดอีกอย่างก็คือ มันจะอธิบายความยุ่งยากซับซ้อนที่ผ่านมาทั้งหมดของกระบวนการยื่นขอล้มละลาย และตีแผ่อนาคตให้เราได้เห็น

อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัทมักไม่สนใจข้อมูลเหล่านี้ เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คืออดีตผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้การค้าของบริษัทที่เพิ่งล้มละลายไป ซึ่งไม่ได้สนใจที่จะถือหุ้นมาตั้งแต่แรก แต่ได้หุ้นมาเพื่อแลกกับการใช้หนี้เท่านั้น

ครั้นหุ้นใหม่เข้าเทรดในตลาด คนกลุ่มนี้จึงมัก “ขายหุ้นทิ้ง” ทันที และนี่แหละคือโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ เพราะหุ้นของบริษัทที่ตั้งใหม่หลังการล้มละลายมักเทรดกันต่ำกว่ามูลค่าในช่วงแรกที่เข้าตลาด

นอกจากนี้ ด้วยความที่ตลาดหุ้นมักมองข้ามบริษัทที่เพิ่งพ้นจากภาวะล้มละลาย จึงไม่มีใครสนใจที่จะไปโปรโมทมัน มันจึงถูกเรียกว่า “หุ้นกำพร้า” และถูกกดราคาไว้

ผลการศึกษาระหว่างปี 1980 ถึงปี 1993 พบว่า หุ้นล้มละลายใหม่ที่ถูกแจกจ่ายออกไป ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีตลาดอื่นๆ “มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์” ในช่วง 200 วันแรกของการเทรด

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็น “หุ้นกำพร้า” ของอดีตบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะพวก “บริษัทแห่งชาติ” ผลตอบแทนมักไม่สูงนัก ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระวังไว้ให้ดี

วิธีป้องกันก็คือ ให้เลือกหุ้นซึ่งมีตลาดเฉพาะทางที่เข้มแข็ง มีแบรนด์เนม มีแฟรนไชส์ หรือมีตำแหน่งที่ได้เปรียบในอุตสาหกรรม  ซึ่งคงยากที่จะมีครบทั้งหมด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ล้มละลายแต่แรก แต่มีบ้างไว้เป็นเบาะรองรับ ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ก่อนจบ ต้องบอกว่า สถิติข้างต้นมาจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งอาจเหมือนหรือต่างจากตลาดหุ้นไทย อันนี้ก็ต้องระวังไว้ด้วย

ใครสนใจอยากเป็น “พญาอีแร้งแห่งปี” ก็ลองศึกษาหาข้อมูลกันดูนะครับ ไม่แน่ว่า “ของเน่า” อาจทำให้เรารวยได้เหมือนกัน

สรุปไฮไลท์จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ณ การประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway 2020

Warren_Buffett_at_the_2015_SelectUSA_Investment_Summit

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมได้สรุปไฮไลท์คำพูดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2020 เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากแปลสดๆ ลงเพจ Club VI ไปก่อนหน้านี้ เอาแบบสั้นๆ กระชับ คัดเฉพาะเนื้อๆ มาให้อ่านกันนะครับ

เนื้อหาแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรกมาจาก speech ที่ปู่บรรยายเพื่อเปิดการประชุม (ซึ่งแกจะทำอย่างนี้ทุกปี) และช่วงที่สองจะเป็นการตอบคำถามที่ส่งกันเข้ามาจากทางบ้าน เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรก (และอาจจะเป็นปีเดียว) ที่ไม่มีผู้ถือหุ้นเข้าร่วม

ช่วงที่ 1  : speech เปิดงาน

1. ขอบคุณหมอ – ปู่บอกว่าอเมริกาโชคดีมากๆ ที่มี ดร.แอนโธนี ฟอซี ผอ.สถาบันควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ คอยอธิบายให้ข้อมูลเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส ปู่บอกด้วยว่าตัวเองเก่งเลข แต่ห่วยมากเรื่องสุขภาพ ดีที่มี ดร.ฟอซี คอยอธิบายให้ฟัง แกรู้สึกขอบคุณและติดหนี้บุญคุณคุณหมอฟอซีเป็นอย่างยิ่ง

2. มองอเมริกาเป็นบวก – ปู่ยังมองอเมริกาเป็นบวกมาก (พูดซ้ำหลายครั้ง) โดยเปรียบสหรัฐฯ เป็นรถไฟขบวนหนึ่ง สมัยปี 2008-9 รถไฟขบวนนี้ตกราง ถนนหนทางก็ไม่ค่อยจะดี อันเนื่องมาจากปัญหาธนาคาร แต่ครั้งนี้รถไฟกลับมาวิ่งบนรางปกติแล้ว เราแค่หยุดมันชั่วไว้ครู่เท่านั้น

3. การสร้างมูลค่าของอเมริกา ปู่บอกว่าตั้งแต่แกจบมหาวิทยาลัย สหรัฐอเมริกาสามารถทำให้เงินทุกๆ 1 เหรียญกลายเป็น 100 เหรียญ เท่ากับว่าสหรัฐฯ เดินหน้าเต็มตัวเรื่อยมา

สหรัฐอเมริกาในปี 2020 มี wealth 100 ล้านล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 แสนเท่าจากเงินทุกๆ 1 เหรียญตอนที่ก่อตั้งประเทศ หากเทียบเป็นค่าเงินระดับเดียวกัน คือได้กำไร 5,000 เท่า

ดังนั้น ถ้าลองมองวิกฤต 2-3 เดือนที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นเรื่องชั่วคราว และอเมริกาจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งอย่างแน่นอน สิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงเชื่อมั่นในอเมริกาเท่านั้น คุณต้องเชื่อว่ามหัศจรรย์แห่งอเมริกาจะไม่มีวันจางหาย

ปู่ย้ำว่า “อย่าเดิมพันตรงข้ามกับอเมริกา”

4. ย้อนถึง The Great Depressionปู่บอกว่าช่วง Great Depression มันแย่มาก รู้สึกยาวนานมากๆ และไม่มีใครคิดว่ามันจะจบ แต่แล้ววันหนึ่งเศรษฐกิจก็กลับมา

ปู่เล่าว่าช่วง Great Depression เงินในตลาดหุ้น 1,000 เหรียญ ลดเหลือ 170 เหรียญในเวลาแค่สองปี

Great Depression คงอยู่เป็นเวลานานหลายปี แต่ในความรู้สึกของผู้คนกลับนานยิ่งกว่านั้น แม้ว่าต่อมาเศรษฐกิจจะกลับมาได้ แต่ความกลัวในจิตใจของผู้คนยังไม่จางหายไป มันกลายเป็นเรื่องเล่าขาน พ่อแม่เล่าให้ลูกฟังถึงความน่ากลัวของวิกฤติครั้งนั้น

ดังนั้น สิ่งสำคัญในตอนนี้คือต้อง “อย่าเสียศรัทธากับประเทศ”

5. อย่าคาดเดาตลาด – ไม่มีใครรู้ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า รู้แต่ว่าอเมริกาจะก้าวหน้าไป ไม่มีใครรู้แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 .. 2001 (หลัง 9/11) เหมือนที่ไม่มีใครรู้ว่าไวรัสครั้งนี้จะเกิดขึ้น

ปู่บอกว่า คุณเดิมพันฝั่งเดียวกับอเมริกาได้เสมอ แต่ก็ต้องระวัง เพราะคุณเชื่อใจอเมริกาได้ก็จริง แต่เชื่อใจตลาดหุ้นไม่ได้ เนื่องจากตลาดสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง

6. อย่ากู้เงินมาลงทุนปู่บอกว่า อย่ากู้เงิน อย่าใช้มาร์จิ้นมาลงทุนในวิกฤตโคโรนาไวรัสครั้งนี้ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงมาก มีปัจจัยต่างๆ ที่คาดเดาไม่ได้มากมาย ปู่บอกว่า มีเหตุผลทุกประการที่ควรลงทุนกับการก้าวหน้าไปของอเมริกา ยกเว้นการกู้เงินมาลงทุน

7. ซื้อ S&P 500 ดีที่สุด – ปู่ยังคงแนะนำเหมือนเดิมว่า สำหรับคนส่วนใหญ่ การถือกองทุนอิงดัชนี S&P 500 เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล และดีกว่าทำตามพรายกระซิบ

8. เชื่อมั่นประธานเฟด – ปู่เชื่อมั่นในตัวประธานเฟด เจโรม พาวเวลล์ โดยยกไว้ในระดับเดียวกับ พอล โวลค์เกอร์ ซึ่งเป็นอดีต ปธ. อีกคนที่แกชื่นชม เนื่องจากพาวเวลล์เทคแอ็คชั่นตั้งแต่กลาง มี.ค. ซึ่งน่าจะเป็นการปรับเอาบทเรียนจาก 2008-9 มาใช้ ถ้าวันนั้นเฟดไม่ลงมือรวดเร็วและเด็ดขาด วันนี้คงแย่กว่านั้นเยอะ

9. ยอมรับความผิดพลาดที่ลงทุนในสายการบิน – อันนี้สำคัญมาก ปู่บอกว่าแกทำ “ความผิดพลาดที่เข้าใจได้” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสายการบินทั้งสี่ “ตอนที่เราซื้อ (หุ้นสายการบิน) เรากำลังจะได้เงินก้อนโตจากการลงทุนในหลายๆ สายการบิน” แต่แล้ว “กลับกลายเป็นว่าผมคิดผิดเกี่ยวกับตัวธุรกิจ” โดยปู่ไม่ได้โทษ CEO ของทั้งสี่สายการบินแต่อย่างใด เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา แต่เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน

10. ไม่รู้อนาคตธุรกิจการบิน – ที่ผมมองว่าน่าสนใจที่สุดก็คือ ปู่มองอนาคตสายการบิน “เป็นลบ” โดยบอกว่า แม้ 3-4 ปีต่อจากนี้ ก็ไม่รู้ว่าคนจะกลับมาบินมากเหมือนเดิมหรือไม่ และเครื่องบินก็มีอยู่เยอะแยะ (สืบเนื่องจากปู่ ตามหลักวีไอ ต้องบอกว่า “พื้นฐานเปลี่ยน” แล้ว สำหรับธุรกิจสายการบิน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบินด้วย)

P071811PS-0254_(5951720542)

ช่วงที่ 2 : ตอบคำถาม

11. ขายหุ้นสายการบินทั้งหมดแล้ว – อันนี้ฮือฮาที่สุด คือ ปู่ยอมรับว่าขายหุ้นสายการบินทั้งหมดแล้ว โดยขายไปเป็นเงิน 6,509 ล้านเหรียญ “โลกเปลี่ยนไปแล้วสำหรับสายการบิน และผมก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ผมหวังว่ามันจะแก้ไขตัวเองได้ด้วยวิธีที่รวดเร็ว” และ “ผมไม่รู้ว่าคนอเมริกันเปลี่ยนนิสัยหรือจะเปลี่ยนนิสัย (เกี่ยวกับการบิน) หรือไม่” ปู่บอกว่า มีหลายอุตสาหกรรมที่กระทบจากวิกฤตโคโรนาไวรัส และสายการบินก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เจ็บหนักมากจนควบคุมไม่ได้

12. ทำไมไม่ซื้ออะไรสักที – ต่อข้อสงสัยว่าทำไมหุ้นลงมาขนาดนี้แล้ว เงินสดก็เหลือเยอะแยะ แต่ไม่ยอมทำอะไรสักที ปู่บอกว่า “เรายังไม่ทำอะไร เพราะเราไม่เห็นอะไรน่าสนใจ” แต่ก็บอกด้วยว่า แกพร้อมจะลงทุนครั้งใหญ่ อาจจะ 30,000 40,000 หรือ 50,000 ล้านเหรียญ ทันทีที่เห็นโอกาสที่น่าลงทุน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นเลย โดยล่าสุด BRK มีเงินสดถึง 137,000 ล้านเหรียญ

13. อนาคตของ Berkshire – เกร็ก อาเบล รองประธานฝ่ายธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับประกัน ซึ่งปีนี้ขึ้นมานั่งคู่บัฟเฟตต์แทน ชาร์ลี มังเกอร์ บอกว่า ไม่ว่าบัฟเฟตต์และมังเกอร์จะอยู่หรือไม่ วัฒนธรรมองค์กรของ Berkshire ก็จะไม่เปลี่ยน “เราไม่มีใครดีกว่าวอร์เรนและชาร์ลี แต่เรามีทีมที่เก่งเทียบเท่ากันที่เบิร์คเชียร์” (เรื่องมุมมองต่ออนาคตของ BRK แนะนำอ่านหนังสือ Berkshire Beyond Buffett ของ ศ.ลอว์เรนซ์ คันนิงแฮม ที่ผมเป็นผู้แปล ดีมากๆ และลึกที่สุดแล้ว – ชัชวนันท์)

14. ทายาทของปู่ – เกี่ยวกับเรื่องทายาทที่จะมารับไม้ต่อจากบัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคำถามหลักที่คนอยากรู้ โดยเฉพาะเมื่อ ชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานวัย 96 ไม่ได้มานั่งตอบคำถามในปีนี้ และเป็นครั้งแรกที่มังเกอร์ไม่มา ปู่ยืนยันว่า ตัวแกและ “ปู่มัง” ยังแข็งแรง แถมบอกด้วยว่า ตอนนี้มังเกอร์ใช้ Zoom ประชุมเป็นแล้วด้วย

สำหรับคนที่จะมาแทนแกนั้น ปู่บอกรายชื่อออกมาสามคน คือ เกร็ก อาเบล (รองประธานฯ ที่มานั่งข้างแกแทนมังเกอร์วันนี้) และสองขุนพล ท็อดด์ คอมบ์ส กับ เท็ด เวลช์เลอร์ อย่างไรก็ตาม ปู่บอกว่า “เราจะไม่สมัครใจยอมจากไปไหน แต่เราอาจจะต้องไปโดยไม่สมัครใจในเวลาไม่นานนัก”

ตรงนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ในมุมมองของผม เพราะ เป็นครั้งแรกที่บัฟเฟตต์แย้มชื่อออกมาชัดเจนที่สุดแล้ว โดยตัดเหลือสามคน และเป็นครั้งแรกที่แกพูดทีเล่นทีจริงทำนองว่า ตัวแกกับมังเกอร์อาจจะต้องจากไปในเวลาไม่นาน หลังจากก่อนหน้านี้เคยบอกมาตลอดว่าจะทำงานจน “จำหน้ากันและกันไม่ได้”

15. การแตกบริษัท – ปู่บอกว่า จะไม่ “แตก” Berkshire ออกเป็นบริษัทย่อยๆ เพราะแม้บางคนมองว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้น แต่มันจะโดนภาษีและค่าธรรมเนียมมากมาย ปู่บอกว่า แกคิดทุกอย่างมาดีแล้ว การเก็บ Berkshire ไว้เป็นกลุ่มบริษัท (conglomerate) อย่างนี้ นอกจากจะทำให้เงินทั้งหมดที่ Berkshire ทำได้กลายเป็นของการกุศลแล้ว ยังทำให้พวก “สุนัขจิ้งจอก” เข้ามายุ่มย่ามไม่ได้

16. การซื้อหุ้นคืน – ต่อข้อถามว่า จะซื้อหุ้น BRK คืนหรือไม่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคำถามที่คนสงสัยกันมาก เพราะปู่ชอบการซื้อหุ้นคืนเมื่อมันต่ำกว่ามูลค่า แต่ที่ผ่านมากลับซื้อคืนน้อยมาก ทั้งที่ตลาดลงมาเยอะ

ปู่บอกว่า ตอนนี้มีกระแสไม่ชอบการซื้อหุ้นคืนเยอะมาก “มีคนพูดอะไรบ้าๆ เกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนกันมากมาย” ทั้งที่จริงแล้ว การซื้อหุ้นคืนเป็นสิ่งที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย มันคือการส่งมอบเงินสดคืนให้ผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม ถ้า BRK จะซื้อหุ้น ก็ต้องทำโดยคำนึงถึงราคาและความจำเป็นให้มากที่สุด และเมื่อสถานการณ์มันใช่จึงจะทำ โดยต้องไม่ให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์เหมือนการจ่ายปันผล (ที่ต้องถูกหักภาษี)

นอกจากนี้ แกยังเสริมอีกว่า ที่ซื้อหุ้นคืนน้อยมากในช่วง Q1 (ซื้อคืนแค่ 1,700 ล้าน เมื่อเทียบกับเงินสด 137,000 ล้านที่มี) ตอนที่ตลาดหุ้นถล่มลงมานั้น เป็นเพราะราคายังไม่ถูกพอ “ราคาตอนนั้นยังไม่ได้อยู่ในระดับที่รู้สึกว่า มันดีกว่าเยอะเมื่อเทียบกับสิ่งอื่นๆ รวมทั้งเมื่อคำนึงถึงมูลค่าของเงิน พอที่จะให้เราลงมือครั้งใหญ่ได้”

สรุปก็คือ ปู่ยังนิยมการซื้อหุ้นคืนเหมือนเคย แต่พูดเป็นนัยว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา

17. ประเทศที่ดี ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง – มีคำถามว่า วิกฤตครั้งนี้มีผู้เสียสละมากมาย ทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุข บุคลากรด้านสายอุปทานอาหาร เดลิเวอรี่ การบริการชุมชน ประเทศของเราจะดูแลพวกเขาอย่างไร?

ปู่บอกว่า พวกเขาเหมือนทหารที่นอร์มังดี พวกเขาเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ทรมาน ทำงาน 24 ชม. แต่เราไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของพวกเขา

ปู่บอกว่า ประเทศนี้ต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยพวกเขา เราเป็นประเทศที่ร่ำรวย พวกเขาเสียสละกว่าคนบางคน ซึ่งเพียงแค่เกิดมาในมดลูกที่ถูกต้อง เราต้องสร้างสังคมที่ภายใต้สถานการณ์ปกติ คนที่ทำงานมากกว่าสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงต้องมีชีวิตที่ดี มีลูกสองสามคนได้โดยไม่ต้องมี second job

“พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนพระราชาไม่ได้ก็จริง แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของผม ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง”


Credit : ข้อมูลประกอบจากเว็บ Yahoo! Finance, CNBC และลิงค์การถ่ายทอดสดของ Yahoo! Finance ภาพประกอบจาก Yahoo! Finance