“ง่าย..ใช่ว่าไม่จริง” เมื่อผมเกือบโยนหนังสือของวีไอมหัศจรรย์ทิ้งถังขยะ

หนังสือ “สูตรลับรวยหุ้น ชวนคุณให้รวย” แปลจาก The Big Secret for the Small Investor ที่โจเอลบ่นว่าขายไม่ดี แต่คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านต่างชมแทบทุกคน

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

เมื่อประมาณ 13 ปีก่อน ผมได้หนังสือเล่มหนึ่งจากแฟนของผมในเวลานั้น ชื่อ The Little Book That Still Beats The Market โดย โจเอล กรีนแบล็ตต์ ฉบับแปลเป็นไทย ลิขสิทธิ์ของซีเอ็ด

ผมเปิดอ่านมันคร่าวๆ ตั้งแต่คำนำ และจำได้ว่าผู้เขียนพยายามโน้มน้าวให้ทำตามวิธีลงทุนที่เขาเรียกว่า “สูตรมหัศจรรย์” โดยย้ำว่าต้อง “เชื่อ” สูตรของเขา จึงจะประสบความสำเร็จได้

ผมเปิดอ่านเนื้อหาคร่าวๆ และพบว่า สิ่งที่เขาเรียกว่า “สูตรมหัศจรรย์” หรือ magic formula นั้น น่าจะง่ายเกินไป และไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยนิสัยเชื่อคนยากของผม เปิดอ่านไปได้ไม่กี่หน้า ผมจึงเอาหนังสือเล่มนั้นเก็บเข้าตู้ และไม่คิดจะหยิบมาอ่านอีก (ที่จริงแทบจะโยนทิ้งด้วยซ้ำไป ติดแต่ว่ามันเป็นของแฟน ไม่ใช่ของผม)

ในใจก็นึกว่า “ไร้สาระว่ะ ไปหลอกเม่าเถอะ”

โจเอล กรีนแบล็ตต์ เมื่อครั้งไปพูดที่ Google, งาน Talks at Google (Voicetube , The Little Book That Beats The Market , Joel Greenblatt , Talks at Google)

หลายปีต่อมา เมื่อสั่งสมประสบการณ์ในการลงทุนมากขึ้น ผมจึงทราบว่า magic formula ของโจเอลนั้นใช้ได้ผลจริง และช่วยให้กองทุนของเขาทำผลตอบแทนได้ปีละ 40% เป็นช่วงระยะเวลา 20 ปี (1985-2005) ซึ่งสูงกว่าสถิติของผู้จัดการกองทุนทุกคนในโลกนับจากอดีตถึงปัจจุบัน

แม้แต่ ปีเตอร์ ลินช์ ผู้จัดการกองทุนที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดแล้ว ก็ยังทำได้แค่ 29% ในเวลา 14 ปี เทียบไม่ได้เลยกับ magic formula ของโจเอล กรีนแบล็ตต์

(ผมเคยเขียนถึง magic formula ไว้ อ่านได้ที่นี่และอีกบทความอ่านได้ที่นี่ครับ)

จากนั้น ผมมีโอกาสได้แปลหนังสืออีกเรื่องของโจเอล ชื่อ The Big Secret for the Small Investor ซึ่งครั้งนี้ ผมตกลงรับแปลด้วยความยินดี เพราะรู้แล้วว่าหมอนี่ “มีของ”

แม้เนื้อหาในหนังสือจะไม่ใช่ “สูตรสำเร็จ” เหมือน The Little Book That Beats The Market ซึ่งสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งโลกการลงทุน แต่โจเอลยังคงนำเสนอวิธีลงทุนที่ “ง่าย” และสามารถประยุกต์ไปใช้ได้จริง (อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียดสักหน่อยสำหรับตลาดหุ้นไทย แต่ก็อยู่ในวิสัยที่สามารถทำตามได้)

เมื่อไม่กี่ปีก่อน โจเอลยังพูดติดตลกอยู่เลยว่า ถึงทุกวันนี้ หนังสือเรื่องนี้ก็ยังเป็น “Big Secret” อยู่ เพราะ “ไม่มีใครอ่านมัน”

(ที่จริงผมแอบคิดเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด หนังสือของโจเอล หลายเรื่องจึงขายได้ไม่ดีนักทั้งที่มันมีค่ามาก และพอจะได้คำตอบในใจ แต่ขอยังไม่เล่าในที่นี้)

ผ่านมาไม่ต่ำกว่าห้าปี ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ผมได้มาแปลหนังสืออีกเรื่องหนึ่งของโจเอล คือ You Can Be A Stock Market Genius และพบว่าเนื้อหาก็ยังคง “ง่าย” เน้นการประยุกต์ใช้จริงเหมือนเช่นเคย

โดยครั้งนี้ โจเอลนำเสนอวิธีลงทุนใน “สถานการณ์พิเศษ” ต่างๆ ของตลาดหุ้นหลากหลายวิธี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพียงแค่วิธีเดียวก็คุ้มกับเงินที่จ่ายเป็นค่าหนังสือไปมากแล้ว เพราะสามารถนำไปทำเงินได้ง่ายๆ

หนังสือ You Can Be A Stock Genius ที่ผมแปล และรอออกจำหน่ายอยู่

น่าเสียดายที่ทางซีเอ็ดถูกกระทบจากวิกฤตโควิดไม่ต่างจากบริษัทน้อยใหญ่อื่นๆ ทำให้ไม่รู้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะได้ออกมาโลดแล่นบนแผงเมื่อไร

ผมยังเสียดายแทนนักลงทุนไทย เพราะหลายๆ วิธีที่โจเอล บอกไว้แบบโต้งๆ ในหนังสือ สามารถเอามาใช้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้ดีมาก (แต่อย่างน้อยก็คุ้มแล้วสำหรับผม เพราะผมอ่านก่อนและลองใช้ก่อนแล้ว)

สิ่งหนึ่งซึ่งผมชอบเกี่ยวกับโจเอล คือแม้เขาจะนำเสนอสูตรการลงทุนที่ง่ายจนเหลือเชื่อ แต่ตัวเขากลับเชื่อมั่นในแนวทางการลงทุนเน้นมูลค่า หรือ “วีไอ” อย่างมั่นคง และมักจะโคว้ตคำพูดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในการบรรยายและงานเขียนของตัวเองอยู่เสมอ

นอกจากนี้ เขายังเขียนคอมเม้นท์ให้กับหนังสือของ โฮเวิร์ด มาร์กส์ สุดยอดผู้จัดการกองทุนอีกคนหนึ่ง ซึ่งยึดมั่นในแนวทางวีไอเช่นเดียวกัน โดยทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี และต่างก็นับถือบัฟเฟตต์

ที่เล่าเรื่องนี้ ก็เพราะต้องการถ่ายทอดประสบการณ์อันล้ำค่าแก่เพื่อนๆ นักลงทุนว่า แม้เราจะเคยเรียนรู้ว่า การเป็นนักลงทุนนั้น ไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ สิ่งใดที่ฟังดูง่ายเกินจริงนั้น ก็ขอให้คิดไว้ก่อนเลยว่ามันไม่จริง

ทว่าบางครั้ง ตัวเราเองอาจจะโดนลวงอีกชั้นหนึ่ง คือสิ่งที่ฟังดู “ง่ายมากๆ” แท้จริงแล้วอาจจะ “ง่ายจริงๆ” ก็ได้ แต่เป็นตัวเราเองที่ไม่เชื่อ ด้วยความระแวงสงสัย อันเกิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

(เหมือนสุมาอี้ที่ไม่กล้าบุกเข้าเมืองเสเสียไปจับตัวขงเบ้ง ทั้งที่ฝ่ายหลังเปิดประตูเมืองนั่งดีดพิณอยู่บนนั้น)

กรณี magic formula ของโจเอล กรีนแบล็ตต์ ก็เป็นเช่นนั้น เคราะห์ดีที่ผมไหวตัวทัน และหยิบหนังสือเล่มนั้นออกจากตู้มาอ่านซ้ำอีกหลายรอบ แทนที่จะโยนทิ้งถังขยะไป

นี่คือเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “วีไอมหัศจรรย์” ผู้เก่งแบบ “ไร้กระบวนท่า” และอยากเอามาเล่าสู่กันฟังไว้ ณ ที่นี้ครับ

Magic Formula (2)

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ในตอนที่แล้วได้อธิบายสูตร magic formula ไปแล้วว่าหายังไง ตอนนี้จะพามาดูกันนะครับว่า หากใช้ MF กับ “ตลาดหุ้นไทย” จะได้ผลออกมาอย่างไรบ้าง (ใครยังไม่ได้อ่านบทความที่แล้ว คลิกที่ ลิงค์นี้ )

ผู้ที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้ไม่ใช่ใครอื่น คือ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา โดยคำนวณกับตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 1996-2010 รวม 15 ปี ปรากฏว่า สูตรนี้ให้ผลตอบแทนมากมายมหาศาลถึง “66.18 %” ขณะที่ดัชนีตลาดทำได้เพียง 2.40%

… ถือได้ว่า “มหัศจรรย์” เข้าขั้น “เหลือเชื่อ”!!

โดย magic formula จะทำให้เงิน “1 ล้านบาท” ในปี 96 กลายเป็น “2,035 ล้านบาท” ในปี 2010 หรือเพิ่มขึ้น “2,035 เท่า”!! ขณะที่การลงทุนในดัชนีรวม (คือซื้อหุ้นทุกตัวในตลาด) ในช่วงเวลาเดียวกัน จะช่วยให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเพียง 1.4 เท่า จาก 1 ล้าน กลายเป็น 1.4 ล้านบาท เท่านั้น

เรียกได้ว่าคนละโลกกันเลย

[ เปเปอร์ของอาจารย์ไพบูลย์ ดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับ ]

ทั้งนี้ ในการกรองหุ้นตาม MF มีหลายๆ เว็บไซต์ที่ให้เครื่องมืออยู่ สำหรับท่านที่อยากลงทุนโดยใช้ MF ณ เวลาปัจจุบัน เว็บไซต์ SiamQuant ได้หาหุ้นออกมาให้เรียบร้อยแล้ว เป็นข้อมูลอัพเดตล่าสุดของไตรมาส 4 ปี 2558 พร้อมให้ใช้ได้เลย ไม่ต้องคิดเอง

ปรากฏว่า ก็ได้หุ้นออกมา 30 ตัว มีหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่เราคุ้นเคยหลายตัวด้วยกัน เช่น JAS, INTUCH, ADVANC, LPN เป็นต้น

[ รายชื่อหุ้นทั้งหมดพร้อมวิธีการหา อยู่ ที่นี่ ครับ  ]

ข้อสังเกตประการหนึ่งสำหรับการใช้ MF ก็คือ เราอาจ “ปรับเปลี่ยน” ตัวแปรหลายๆ อย่างได้ตามแต่จะเห็นสมควร ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสูตรจนขยับตัวไม่ได้

เช่น อาจใช้เกณฑ์เรื่องของ market cap มาพิจารณาด้วย โดยไม่เลือกบริษัทที่มูลค่าตลาดเล็กกว่าเท่านั้นเท่านี้ หรือสำหรับ Joel Greenblatt ผู้คิดสูตรนี้ เขาจะคัดบริษัทด้านการเงิน เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ ออกไปให้หมด เช่นเดียวกับบริษัทโภคภัณฑ์ เช่น พวกไฟฟ้า ประปา เป็นต้น

จากที่ได้เล่ามาทั้งหมด ท่านคงเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า การใช้ “สูตร” เพื่อการลงทุน หรือที่เขาเรียกว่า “formula investing” ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแต่อย่างใด และสามารถให้ผลตอบแทนในระดับเหนือความคาดหมาย

โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้นไทย” ที่ได้ผลดีจนน่าตื่นตะลึง

ท่านที่สนใจ ขอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้กันต่อไป โดยเฉพาะท่านที่สนใจจะไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังไม่รู้จักคุ้นเคย สูตรนี้น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ ครับ

——————————–

(ข้อมูลประกอบจาก เว็บไซต์ siamquant .com และผลการศึกษาของ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา)

magic-184447_960_720

Magic Formula (1)

magic-154526_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

นานมาแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือลงทุนเล่มหนึ่ง ผู้เขียนนำเสนอสูตรการลงทุนที่ฟังดูง่ายจนไม่น่าเชื่อ พออ่านจบ ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจที่ตรงไหน แม้ผู้เขียนพยายามบอกให้ “เชื่อ” ในสูตรที่เขานำเสนอ โดยมีข้อมูลสถิติมารองรับ ผมก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง

ผมคิดว่าอาจเป็นความบังเอิญทางสถิติ หรืออย่างมากที่สุด มันก็อาจเป็นแค่ความจริงที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งต่อไปอาจไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้ นี่เพราะโดยปกติ ผมเป็นคนค่อนข้างตั้งการ์ด ไม่ค่อยเชื่ออะไรที่ฟังดู “ง่ายเกินจริง” อยู่แล้ว

ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นชื่อ Joel Greenblatt เป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งต่อมาเขาได้ใช้สูตรที่เรียกว่า “Magic Formula” ดังกล่าว สร้างผลตอบแทนได้ปีละกว่า 40% ระหว่างปี 1985-2005 และมีบางข้อมูลระบุด้วยซ้ำไปว่า เขาทำได้เฉลี่ยถึง 50% ในช่วง 10 ปีแรก ระหว่างปี 1985-1994

นั่นแปลว่า สูตรที่ Joel นำเสนอ แม้จะง่ายจนไม่น่าเชื่อ แต่ก็ใช้ได้ผลจริง ทำผลตอบแทนทบเท่าทวีคูณได้จริง และทำให้คนที่เชื่อเขารวยได้จริง ไม่ได้โม้ ส่งผลให้ตัวเขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาลโดยไม่ต้องสงสัย (ทำลายสถิติ 29% ใน 14 ปี ของ ปีเตอร์ ลินช์ ขาดกระจุย)

พูดมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่า magic formula ที่ว่านั้นคืออะไร?

ผมสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้นะครับ

ข้อแรกคือ ให้จัดอันดับ ROE ของหุ้นทั้งตลาด จาก “มากไปหาน้อย” โดยหุ้นที่ ROE สูงที่สุดในตลาด จะได้อันดับที่หนึ่ง และได้ “1 คะแนน” หุ้น ROE สูงเป็นอันดับสอง จะได้ “2 คะแนน” เรียงกันไปเรื่อยๆ (ดังนั้น หุ้นที่ ROE ต่ำสุดในตลาดหุ้นไทย ก็น่าจะอยู่ที่ลำดับเกือบๆ 600 และได้เกือบๆ 600 คะแนน)

ข้อที่สองคือ ให้เรียงลำดับค่า P/E ของหุ้นทั้งตลาดจาก “น้อยไปหามาก” คือเอาหุ้นที่ P/E ต่ำสุดในตลาดเป็นอันดับหนึ่ง และถือว่าได้ “1 คะแนน” P/E อันดับสองได้ “2 คะแนน” เรียงกันไปเรื่อยๆ จนถึงหุ้นอันดับสุดท้ายในตลาด

จากนั้น ให้เอาคะแนนจากข้อที่หนึ่งและสองมาบวกกัน เช่น หุ้น SMDB มีค่า ROE อยู่ลำดับที่ 10 ในตลาด แต่มี P/E เป็นอันดับที่ 550 หุ้น SMDB จะได้คะแนนทั้งหมด 10+550 = 560 คะแนน

** สุดท้าย ให้เอาคะแนนของหุ้นทุกตัวในตลาดมาเรียงกัน แล้วเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้คะแนน “น้อยที่สุด” 30 ตัวแรก โดยลงทุนตั้งแต่ต้นปี แล้วถือไว้จนครบปี จากนั้นจึงเลือกหุ้นชุดใหม่โดยใช้เกณฑ์เดิม **

ท่านเข้าใจผมรึยังครับ ว่าทำไมผมถึง “ไม่เชื่อ” ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก ก็เพราะมัน “ง่ายจนเหลือเชื่อ” นั่นเอง

ในตอนต่อไป จะมาเล่าให้ฟังต่อว่า นอกจากตัวผู้คิดสูตร ที่ทำผลตอบแทนได้ 40%ใน 20 ปี แล้ว คนอื่นๆ ที่เค้าลองใช้สูตรนี้ได้ผลยังไงกันบ้าง รวมทั้งคนไทยที่ใช้ magic formula กับตลาดหุ้นไทยด้วย

… แต่ใบ้ให้ว่า ไม่ขี้เหร่เลยแม้แต่น้อยครับ