เพราะเหตุใดผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหุ้นในเมืองไทยจึงไม่มีใครต้อง “ติดคุก” (1)

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

สืบเนื่องจากกรณีการใช้อินไซด์และปั่นหุ้นที่เกิดขึ้นกับหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ซึ่งผมได้ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนฯ ที่สภาผู้แทนราษฏร และทางคณะกรรมการก็ได้ไปยื่นเรื่องต่อที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต. แล้วนั้น

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้ไปขอเข้าพบนักกฎหมายที่คร่ำหวอดกับกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ท่านหนึ่ง เพื่อให้ช่วยไขข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใดผู้ที่ “ปั่นหุ้น” หรือใช้ “ข้อมูลวงใน” ในตลาดหุ้นไทย จึงไม่เคยต้องรับโทษถึงขั้น “จำคุก” เหมือนที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ในต่างประเทศ และได้รับคำอธิบายที่น่าสนใจพอสมควร

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะไปพบนักกฎหมายคนดังกล่าว ผมได้ศึกษาข้อมูลล่วงหน้าไปพอสมควร จึงขอสรุปรวมความ ทั้งข้อมูลที่ได้ศึกษามา บวกกับข้อมูลที่ได้รับจากการหารือ ไว้เป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆ ดังต่อไปนี้นะครับ

1) ตาม พรบ.หลักทรัพย์ 2535 ความผิดกรณีปั่นหุ้นหรือใช้ข้อมูลวงในนั้น เดิมทีเดียวเป็น “ความผิดอาญา” มีโทษทั้งปรับและจำคุก

2) อย่างไรก็ตาม ใน พรบ. หลักทรัพย์ 2535 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 (ไม่ใช่ฉบับล่าสุด) มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 12/1 เกี่ยวกับ “มาตรการลงโทษทางแพ่ง” มาตรา 317/4 กำหนดโทษสำหรับการกระทำที่เราเรียกว่า “ปั่นหุ้น” และ “ใช้อินไซด์” ไว้เป็นสองส่วนหลักๆ ดังนี้

A. “เงินชดใช้” คือ ได้ประโยชน์มาเท่าไร ก็ให้คืนให้รัฐไปเท่านั้น

เช่น นาย ก. ใช้อินไซด์ ได้ประโยชน์มา 100 ล้านบาท ก็ต้องใช้คืนให้รัฐ “100 ล้านบาท”

B. “เงินค่าปรับ” เป็นเงินที่ต้องจ่ายนอกเหนือจาก A คิดเป็นมูลค่าไม่เกินสองเท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ

เช่น นาย ก. ใช้อินไซด์ ได้ประโยชน์มา 100 ล้านบาท ต้องเสียค่าปรับสูงสุด “200 ล้านบาท” (100 ลบ. x 2) (หมายเหตุ : เงินค่าปรับต้องไม่ต่ำกว่าห้าแสนบาท)

เพราะฉะนั้น นาย ก. อาจเสียเงินรวมสูงสุดจากการใช้ข้อมูลอินไซด์ 100 + 200 = 300 ล้านบาท

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า “โกงหุ้น” ได้เงินมา 100 ล้านบาท หากถูกจับได้ อาจต้อง “เสียเงิน” รวมถึง 300 ล้านบาท ถือว่าหนักหนาสาหัสเอาการเลยทีเดียว

แม้กระนั้น นั่นก็ยังเป็นโทษ “ทางแพ่ง” คือแค่ “เสียเงิน” จึงกลับมาที่ข้อสงสัยเดิมของผมก็คือ เพราะเหตุใดผู้กระทำผิดเกี่ยวกับหุ้น จึงไม่ต้อง “ติดคุก” ทั้งๆ ที่ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ระบุไว้ชัดเจนว่า เป็น “ความผิดอาญา” (ตามที่บอกไปในข้อที่ 1)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นักกฎหมายคนดังกล่าวให้คำตอบว่า

3) เนื่องจากมาตรา 317/7 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) วรรคหนึ่ง ระบุไว้ว่า

“เมื่อคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่งเห็นควรให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิด และได้กำหนดวิธีการในการบังคับตามมาตรการลงโทษทางแพ่งตามควรแก่กรณีแล้ว และผู้กระทำความผิดยินยอมที่จะปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งตามที่กำหนด ให้สำนักงานจัดทำบันทึกการยินยอม และเมื่อผู้นั้นได้ชำระเงินครบถ้วนแล้ว ให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ”

นอกจากนี้ ตามมาตรา 317/8 “ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดไม่ยินยอมที่จะระงับคดีตามมาตรา 317/7 ให้สํานักงานฟ้องผู้กระทําความผิดต่อศาลเพื่อกําหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งแก่ผู้กระทําความผิดนั้นต่อไป…” และ “เมื่อศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งกําหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งและผู้กระทําความผิดได้ชําระเงิน ครบถ้วนแล้ว ให้สิทธิในการนาคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ”

(อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้กระทำความผิดไม่ยอมปฏิบัติตามค าพิพากษา ก็อาจถูกดำเนินการทางอาญาได้อยู่)

สรุปก็คือ ถ้าผู้กระทำความผิดยอมรับโทษทางแพ่ง ก็ทำให้ไม่ต้องถูกฟ้องอาญาอีกต่อไป

และนี่เอง คือคำตอบว่าเพราะเหตุใด คนกระทำผิด “เสียเงิน” แล้ว จึงไม่ต้อง “ติดคุก”

ได้ยินดังนี้ ผมก็อดสงสัยต่อไปไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดกฏหมายจึงระบุไว้เช่นนี้ เหตุใดเมื่อ “คนผิด” ยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง กฏหมายจึงกำหนดให้สิทธิในการฟ้องอาญา “หมดไป” จนไม่มีใครต้องเข้าคุกเป็นเยี่ยงอย่าง

ในตอนหน้าจะมาอธิบายต่อครับ

จากแดเนียล ถึงไกด์แอน ถ้าวิธีมันใช่ อะไรๆ ก็ถูก

money-2696229_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

แดเนียล ทาวน์ เป็นทนายความสาวประจำสำนักงานกฏหมายชาวอเมริกันวัย 36 ปี เธอทำงานมาระยะหนึ่งจนเริ่มรู้สึกเบื่องาน และอยากหาทางสร้างรายได้เพื่อที่จะได้เกษียณตัวเองเร็วๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินเดือน

ด้วยความที่พ่อของเธอเป็นนักเขียนหนังสือลงทุน เธอจึงได้ยินเรื่องราวของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะกฏสองข้อของปู่ที่ก้องอยู่ในหู คือ ข้อ 1 อย่าเสียเงิน และข้อ 2 อย่าลืมกฏข้อ 1

ทีแรก แดเนียลเน้นที่การออมเงิน ก่อนจะพบว่ายิ่งเก็บเงินสดไว้มูลค่าของมันยิ่งลดลง เธอจึงคิดได้ว่า เธอควรเริ่มลงทุนอย่างจริงจังเสียที แดเนียลจึงโทรหาพ่อเพื่อขอคำปรึกษา ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า “การลงทุนเน้นมูลค่า” เท่านั้น คือคำตอบของชีวิตเธอ

“พ่อบอกฉันว่า ให้ซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาลด ซึ่งแม้ราคาหุ้นจะต่ำลง ฉันก็ไม่ต้องกังวล แค่ถือไปเรื่อยๆ จนมันกลับมา และอย่าขายทิ้งเป็นพอ”

แดเนียลรู้ดีว่า การเลือกหุ้นส่งๆ นั้นไม่เพียงพอ เธอจึงใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในการศึกษา “หลักการวีไอ” จากพ่อ และสุดท้ายก็ได้ชื่อบริษัทที่ต้องการซื้อหุ้น

หุ้นที่แดเนียลตัดสินใจซื้อ คือ โฮลฟู้ดส์  (Whole Foods) เครือซุเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังของสหรัฐฯ ก่อนจะตัดสินใจขายทิ้งเมื่อบริษัทถูกเอมะซอนเข้าซื้อ โดยทำกำไรได้ 41 เปอร์เซ็นต์ แม้แดเนียลจะเรียนรู้มาว่าหุ้นดีไม่ควรขาย แต่เธอก็บอกว่า บางครั้งการขายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แดเนียลบอกเล่าประสบการณ์ของเธอเอาไว้ว่า การลงทุนเน้นมูลค่าต้องอาศัยการฝึกฝน ไม่ต่างจากการเล่นเทนนิสหรือโยคะ และควรจะทำด้วยใจรัก ยิ่งทำก็จะยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ และไม่ต้องคิดว่าจะหยุดเมื่อไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำไปได้ตลอดชีวิตไม่มีกำหนด

นอกจากนี้ เธอยังย้ำกับทุกคนในสิ่งที่บัฟเฟตต์พูดบ่อยมากในช่วงหลังๆ ก็คือ ถ้าไม่มีเวลาทำการบ้านก็ให้ซื้อกองทุนอิงดัชนี หรือ index fund ที่มีต้นทุนต่ำๆ ซะ

เรื่องนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องเล่าธรรมด๊าธรรมดาที่ได้ยินกันอยู่เสมอ และอาจจะเป็นชีวิตจริงของคนอีกนับพัน ผมเองก็เคยเล่าเรื่อง “ไกด์แอน” มัคคุเทศก์วีไอ ที่เคยมาขอคำปรึกษาจากผม ก่อนจะเริ่มต้นลงทุนในแนววีไอและทำผลตอบแทนได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ในปีแรก มากกว่าตัวผมเองในช่วงเริ่มต้นเมื่อสิบห้าปีก่อนเสียด้วยซ้ำ (อ่านเรื่องราวของไกด์แอนได้ ที่นี่)

แต่ที่อยากเอามาถ่ายทอดไว้ในที่นี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจในเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังลูกผีลูกคน จนหลายท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีกับชีวิต

ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะบอกท่านว่า คนเราถ้าเลือก “วิถีทางที่ถูกต้อง” ไว้ก่อน สภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร เราจะหาทางไปของเราได้เสมอ แต่ถ้าวิธีผิด แม้วันนี้จะได้เงิน เดี๋ยววันข้างหน้าก็เจ๊ง ตัวอย่างมีให้เห็นกันอยู่มากมาย

เราก็เลือกเอาตัวอย่างที่ดี อย่าไปทำตามสิ่งที่แย่ก็แล้วกัน

—————————-

ข้อมูลประกอบจากบทความของ CNBC โดย Emmie Martin อ่านได้ ที่นี่

 

 

สรุปความเป็นไปได้ สงครามการค้า อเมริกา – จีน ใครถือไพ่เหนือ ?!!

Donald_Trump_Laconia_Rally,_Laconia,_NH_4_by_Michael_Vadon_July_16_2015_19.jpg

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

เรียกได้ว่า “ไม่ทันประดาบก็เลือดเดือด” ซะแล้ว สำหรับ trade war หรือ “สงครามการค้า” ระหว่าง อเมริกา กับ จีน หลังสองฝ่ายประกาศตั้งกำแพงภาษีแก่กันและกัน ทำเอาหุ้นทั่วโลกตกกันระเนระนาด รวมทั้งหุ้นไทย

ก่อนอื่น ขอสรุปที่มาที่ไปเป็นลำดับเหตุการณ์ง่ายๆ ดังนี้นะครับ

  1. ทรัมป์ประกาศว่าจะตั้ง tariff โดยเก็บภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ จากสินค้านำเข้าจากจีน
  2. ทรัมป์ระบุรายการสินค้าที่จะเน้นเก็บภาษีเป็นพิเศษ คือพวกของไฮเทคต่างๆ
  3. จีนไม่ยอมโดนกระทำฝ่ายเดียว ประกาศเอาคืนหนักกว่า ด้วยการตั้ง tariff กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมสินค้าแทบทุกประเภท คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านเหรียญ
  4. ทรัมป์โต้กลับอีกรอบ บอกว่าจะโน้มน้าวตัวแทนการค้าของสหรัฐฯ ให้เพิ่ม tariff อีกเป็นมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญ

ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์นักกลยุทธ์และผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความเห็นกับ CNBC ทุกคนต่างอ่านเกมตรงกันว่า สงครามครั้งนี้ อเมริกาอยู่ในสถานะเสียเปรียบจีนอย่างมาก โดยมองกันช็อตต่อช็อตว่า ถ้าเปิดหน้ารบกันจริง อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

ขอสรุปเป็นข้อๆ ให้เข้าใจกันง่ายๆ ดังนี้ครับ

  1. หมัดเด็ดของจีน คือการที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ถึง 1.17 ล้านล้านเหรียญ
  2. เหตุที่จีนต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เพื่อเอารายได้ที่ได้จากการขายสินค้าให้สหรัฐฯ มาเก็บไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งคงไม่มีอะไรจะปลอดภัยไปกว่าพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นทั้ง “ลูกหนี้” และ “คู่ค้า” ของตนเอง
  3. ด้วยเหตุนี้ การถือพันธบัตรสหรัฐฯ ไว้เป็นจำนวนมาก จึงเป็น “หมัดเด็ด” ของจีน โดยหากยังตกลงกันไม่ได้ จีนมีทางเลือกที่จะ “ขาย” พันธบัตรสหรัฐฯ จำนวนมหาศาลออกมา ซึ่งจะทำให้ US bond ล้นตลาดกระทันหันXi_Jinping_in_USA.jpg
  4. เมื่อพันธบัตรสหรัฐฯ ล้นตลาดกระทันหัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ “ราคา” ของมันจะตกลงอย่างรวดเร็ว สวนทางกับ “ดอกเบี้ย” ที่จะพุ่งสูงขึ้น
  5. เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนในการกู้ของบริษัทต่างๆ ในอเมริกาก็จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อบริษัทกู้เงินไปสร้างการเติบโตได้ไม่สะดวก เศรษฐกิจก็จะชะลอตัวลง
  6. นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เองจะมีต้นทุนในการกู้เงินสูงขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าออกพันธบัตร ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าเดิมมาก
  7. ถึงจุดนี้ ไม่ต้องบอกก็คงพอเดากันได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้น แน่นอนว่าเมื่อดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจชะลอ หุ้นจะร่วงลงถล่มทลายแน่นอน
  8. อย่างไรก็ตาม หากจีนทำเช่นนั้นจริงๆ จีนเองก็จะเสียหายเช่นกัน เนื่องจากพันธบัตรส่วนหนึ่งที่ขาย จะเป็นการ “ขายขาดทุน” และหากขายออกมามากๆ ก็ย่อมจะมีอีกหลายๆ ประเทศ รวมทั้งยุโรป เข้าไปซื้อ (ก็ใครละจะไม่ได้อยากได้ US bond ในราคาถูกๆ)
  9. ดังนั้น ถ้ามองในอีกแง่ ก็อาจมองได้ว่า แม้จีนจะใช้ไม้นี้จริง ก็คงทำได้ไม่เต็มเหนี่ยวนัก สถานการณ์จึงไม่น่าจะรุนแรงมาก
  10. มองข้ามไปอีกช็อต สมมุติว่าจีนไม่ใช้พันธบัตรเป็น “ตัวประกัน” พญามังกรจะมี “ไพ่” ใบอื่นอีกหรือไม่? ก็ตอบได้ว่า “มี” และเป็นไพ่ที่จะทำให้สหรัฐฯ เดือดร้อนหนักเสียด้วย นั่นคือการ “ลดค่าเงิน”
  11. การกดค่าเงินหยวนให้ต่ำของรัฐบาลจีน เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ “เกลียดที่สุด” เพราะมันคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลจากการค้า ดังนั้น นอกจากจะขึ้นกำแพงภาษี อันเป็นการ “รบกันที่ปลายน้ำ” จีนยังสามารถ “ดักทาง” ได้ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือลดค่าเงินมันซะเลย
  12. เมื่อเงินหยวนถูกลง กำแพงภาษีของทรัมป์ก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะบริษัทอเมริกันจะยังนำเข้าสินค้าจากจีนอยู่ดี (ภาษีแพงขึ้นจริง แต่ต้นทุนค่าสินค้าก็ถูกลงด้วย)
  13. นอกจากนี้ จีนยังมี “ไพ่รอง” อีกหลายใบ เช่น อาจจำกัดการออกวีซ่าให้แก่คนงานสหรัฐฯ ที่จะมาทำงานในจีน หรือแม้แต่เข้ายึดโรงงานของบริษัทในจีนซะเลย (ประการหลังนี่มีคนมองไว้ แต่ผมมองว่าไม่น่าเป็นไปได้ หากจะทำได้ก็น่าจะเป็นการออกกฏเกณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความยุ่งยากหรือเพิ่มต้นทุนให้แก่โรงงานของสหรัฐฯ ในจีนมากกว่า – ชัชวนันท์)
  14. แต่ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่า สุดท้ายแล้วสงครามการค้าจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น จีนเองแม้จะถือไพ่หลายใบ แต่โรงงานของสหรัฐฯ ก็จ้างคนงานจีนจำนวนมาก ถ้าโรงงานเหล่านั้นย้ายออกจากจีน จีนก็เดือดร้อน ฝ่ายสหรัฐฯ เองถ้าเล่นไม่เลิก ขืนโดนจีนเอาคืนก็จะเจ็บหนักเช่นกัน
  15. สุดท้าย ทั้งสองประเทศจึงควรยุติสงคราม และหาบันไดลงแบบสวยๆ ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยประการละฉะนี้

ข้อมูลประกอบจาก : CNBC