โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
เรียกได้ว่า “ไม่ทันประดาบก็เลือดเดือด” ซะแล้ว สำหรับ trade war หรือ “สงครามการค้า” ระหว่าง อเมริกา กับ จีน หลังสองฝ่ายประกาศตั้งกำแพงภาษีแก่กันและกัน ทำเอาหุ้นทั่วโลกตกกันระเนระนาด รวมทั้งหุ้นไทย
ก่อนอื่น ขอสรุปที่มาที่ไปเป็นลำดับเหตุการณ์ง่ายๆ ดังนี้นะครับ
- ทรัมป์ประกาศว่าจะตั้ง tariff โดยเก็บภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ จากสินค้านำเข้าจากจีน
- ทรัมป์ระบุรายการสินค้าที่จะเน้นเก็บภาษีเป็นพิเศษ คือพวกของไฮเทคต่างๆ
- จีนไม่ยอมโดนกระทำฝ่ายเดียว ประกาศเอาคืนหนักกว่า ด้วยการตั้ง tariff กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมสินค้าแทบทุกประเภท คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านเหรียญ
- ทรัมป์โต้กลับอีกรอบ บอกว่าจะโน้มน้าวตัวแทนการค้าของสหรัฐฯ ให้เพิ่ม tariff อีกเป็นมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญ
ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์นักกลยุทธ์และผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความเห็นกับ CNBC ทุกคนต่างอ่านเกมตรงกันว่า สงครามครั้งนี้ อเมริกาอยู่ในสถานะเสียเปรียบจีนอย่างมาก โดยมองกันช็อตต่อช็อตว่า ถ้าเปิดหน้ารบกันจริง อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
ขอสรุปเป็นข้อๆ ให้เข้าใจกันง่ายๆ ดังนี้ครับ
- หมัดเด็ดของจีน คือการที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ถึง 1.17 ล้านล้านเหรียญ
- เหตุที่จีนต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เพื่อเอารายได้ที่ได้จากการขายสินค้าให้สหรัฐฯ มาเก็บไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งคงไม่มีอะไรจะปลอดภัยไปกว่าพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นทั้ง “ลูกหนี้” และ “คู่ค้า” ของตนเอง
- ด้วยเหตุนี้ การถือพันธบัตรสหรัฐฯ ไว้เป็นจำนวนมาก จึงเป็น “หมัดเด็ด” ของจีน โดยหากยังตกลงกันไม่ได้ จีนมีทางเลือกที่จะ “ขาย” พันธบัตรสหรัฐฯ จำนวนมหาศาลออกมา ซึ่งจะทำให้ US bond ล้นตลาดกระทันหัน
- เมื่อพันธบัตรสหรัฐฯ ล้นตลาดกระทันหัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ “ราคา” ของมันจะตกลงอย่างรวดเร็ว สวนทางกับ “ดอกเบี้ย” ที่จะพุ่งสูงขึ้น
- เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนในการกู้ของบริษัทต่างๆ ในอเมริกาก็จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อบริษัทกู้เงินไปสร้างการเติบโตได้ไม่สะดวก เศรษฐกิจก็จะชะลอตัวลง
- นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เองจะมีต้นทุนในการกู้เงินสูงขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าออกพันธบัตร ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าเดิมมาก
- ถึงจุดนี้ ไม่ต้องบอกก็คงพอเดากันได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้น แน่นอนว่าเมื่อดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจชะลอ หุ้นจะร่วงลงถล่มทลายแน่นอน
- อย่างไรก็ตาม หากจีนทำเช่นนั้นจริงๆ จีนเองก็จะเสียหายเช่นกัน เนื่องจากพันธบัตรส่วนหนึ่งที่ขาย จะเป็นการ “ขายขาดทุน” และหากขายออกมามากๆ ก็ย่อมจะมีอีกหลายๆ ประเทศ รวมทั้งยุโรป เข้าไปซื้อ (ก็ใครละจะไม่ได้อยากได้ US bond ในราคาถูกๆ)
- ดังนั้น ถ้ามองในอีกแง่ ก็อาจมองได้ว่า แม้จีนจะใช้ไม้นี้จริง ก็คงทำได้ไม่เต็มเหนี่ยวนัก สถานการณ์จึงไม่น่าจะรุนแรงมาก
- มองข้ามไปอีกช็อต สมมุติว่าจีนไม่ใช้พันธบัตรเป็น “ตัวประกัน” พญามังกรจะมี “ไพ่” ใบอื่นอีกหรือไม่? ก็ตอบได้ว่า “มี” และเป็นไพ่ที่จะทำให้สหรัฐฯ เดือดร้อนหนักเสียด้วย นั่นคือการ “ลดค่าเงิน”
- การกดค่าเงินหยวนให้ต่ำของรัฐบาลจีน เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ “เกลียดที่สุด” เพราะมันคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลจากการค้า ดังนั้น นอกจากจะขึ้นกำแพงภาษี อันเป็นการ “รบกันที่ปลายน้ำ” จีนยังสามารถ “ดักทาง” ได้ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือลดค่าเงินมันซะเลย
- เมื่อเงินหยวนถูกลง กำแพงภาษีของทรัมป์ก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะบริษัทอเมริกันจะยังนำเข้าสินค้าจากจีนอยู่ดี (ภาษีแพงขึ้นจริง แต่ต้นทุนค่าสินค้าก็ถูกลงด้วย)
- นอกจากนี้ จีนยังมี “ไพ่รอง” อีกหลายใบ เช่น อาจจำกัดการออกวีซ่าให้แก่คนงานสหรัฐฯ ที่จะมาทำงานในจีน หรือแม้แต่เข้ายึดโรงงานของบริษัทในจีนซะเลย (ประการหลังนี่มีคนมองไว้ แต่ผมมองว่าไม่น่าเป็นไปได้ หากจะทำได้ก็น่าจะเป็นการออกกฏเกณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความยุ่งยากหรือเพิ่มต้นทุนให้แก่โรงงานของสหรัฐฯ ในจีนมากกว่า – ชัชวนันท์)
- แต่ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่า สุดท้ายแล้วสงครามการค้าจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น จีนเองแม้จะถือไพ่หลายใบ แต่โรงงานของสหรัฐฯ ก็จ้างคนงานจีนจำนวนมาก ถ้าโรงงานเหล่านั้นย้ายออกจากจีน จีนก็เดือดร้อน ฝ่ายสหรัฐฯ เองถ้าเล่นไม่เลิก ขืนโดนจีนเอาคืนก็จะเจ็บหนักเช่นกัน
- สุดท้าย ทั้งสองประเทศจึงควรยุติสงคราม และหาบันไดลงแบบสวยๆ ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยประการละฉะนี้
ข้อมูลประกอบจาก : CNBC