เสี่ยงอย่าง ริชาร์ด แบรนสัน

Richard_Branson_March_2015_(cropped)

(ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนจากนิตยสาร Forbes ฉบับครบรอบ 100 ปี เป็นการรวบรวมเอาข้อคิดดีๆ จากสุดยอดนักธุรกิจโลก 100 คน ซึ่งผมได้ทยอยแปลเป็นไทยให้ได้อ่านกัน วันนี้เป็นคิวของ ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้ง “เวอร์จิ้น กรุ๊ป” ในหัวข้อ “ความเสี่ยง” ซึ่งน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ลองอ่านดูนะครับ )

ริชาร์ด แบรนสัน เขียน

ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

ผมเดาว่าในบรรดานักธุรกิจทุกคนที่ถูกรวบรวมไว้ในฉบับนี้ ผมคือคนที่ทำเรื่องบ้าๆ โง่ๆ ไว้มากกว่าใคร เพื่อให้บริษัทของผมเป็นที่รู้จัก

ตอนที่ เวอร์จิ้น อเมริกา เริ่มเส้นทางบินไป ลาส เวกัส สต๊าฟของผม พาผมขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของโรงแรมพาล์มส์ และบอกว่า ผมต้องกระโดดจากชั้นสูงสุดลงไปยังงานปาร์ตี้ที่ชั้นล่างสุดแบบบั้นจี้ ซึ่งผมลังเลมากๆ เพราะตอนนั้นลมแรง 50 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ผมก็กระโดด และตัวไปฟาดกับด้านนอกตึกระหว่างที่กำลังพุ่งลง ซึ่งทำให้กางเกงขาดยับเยินหมด พอลงมาถึงงานปาร์ตี้ เลือดก็ไหลท่วมขา

แบรนด์ เวอร์จิ้นถูกผูกเอาไว้กับตัวตนของผมอย่างแท้จริง ผมจึงต้องระวัง ไม่ทำอะไรที่จะไปทำลายแบรนด์ของตัวเอง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ยอมเสี่ยง ในขณะที่กลุ่มเวอร์จิ้นใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น เราก็สามารถเสี่ยงมากขึ้นและฉลาดขึ้นในหลายๆ เซคเตอร์

การลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของเราคือ “บริษัทอวกาศ” ซึ่งเราลงทุนไปแล้ว 1,000 ล้านเหรียญเพื่อเริ่มต้น ผมเสี่ยงอะไรมามากต่อมากในชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจ บางครั้งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

แต่คนเรามักไม่รังเกียจคนที่พยายามทำสิ่งต่างๆ แล้วล้มเหลวหรอก


แหล่งที่มาข้อมูล: http://www.forbes.com/100-greatest-business-minds/person/richard-branson

ภาพโดย : Chatham House

แจ็ค เวลช์ สอนน้อง : อย่าซ้ำเติมใครในวันที่เขาล้ม

[ต่อไปนี้เป็น การแปลข้อเขียนจากสุดยอดนักธุรกิจโลก 100 คน ที่ Forbes magazine รวบรวมไว้ วันนี้เป็นคิวของ แจ็ค เวลช์ อดีตซีอีโอ GE หนึ่งในนักบริหารที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดในโลก มาดูกันนนะครับว่าเขาสอนอะไร]

800px-JackWelchApril2012

แจ็ค เวลช์ เขียน

ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของผมนั้น ระเบิดมาก .. หมายถึง “ระเบิด” จริงๆ

ในปี 1963 หลังจากทำงานที่ GE ได้สามปี ผมเป็นวิศวกรเคมีที่กระตือรือร้นและทะเยอทะยาน และกำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างธุรกิจพลาสติกขึ้นในบริษัทไฟฟ้า ในระหว่างกระบวนการ โรงงานทดลองของผมเกิดระเบิดขึ้นมา ใช่แล้วล่ะ ระเบิดเละเลย หลังคาพังลงมา กระจกแตก ควันโขมง งานทุกอย่างพังฉิบหายหมด

จนถึงวันนี้ ผมยังนึกขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ผมแน่ใจว่าหน้าที่การงานของตัวเองจบเห่ลงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่หัวหน้าของผมในพิตต์สเบิร์ก อยู่ๆ ก็ทำเป็นไม่รู้จักผม อีกทั้งผมยังถูกเรียกตัวไปพบเจ้านายใหญ่ในนิวยอร์ก เขาชื่อ ชาร์ลี รีด

ตอนนั้นผมไม่รู้จักเขาเลย รู้แต่ว่าผมกลัวมาก ผมแน่ใจว่าจะถูกตะโกนด่า ประจาน แล้วก็ไล่ออกแบบอัปยศแน่นอน เพราะถึงอย่างไร มันก็คือโรงงานของผม เป็นความผิดของผมเต็มๆ

แต่แล้ว ชาร์ลี รีด กลับสอนบทเรียนความเป็นผู้นำและบทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่แก่ผมในวันนั้น เขาสุขุม มีเมตตา และเอาใจใส่ เขาคุยกับผมอยู่หลายชั่วโมง โดยใช้วิธีตั้งคำถามแบบโซเครติส เพื่อช่วยให้ผมเข้าใจว่าระเบิดเกิดขึ้นได้อย่างไร และผมสามารถ หรือควรทำอะไรที่แตกต่างไป และหลังจากคุยจบ เขาก็ให้โอกาสครั้งที่สองแก่ผม

ผมได้เรียนรู้ในวันนั้นว่า อย่าได้ซ้ำเติมใครในวันที่เขาล้ม คนทุกคนทำผิดพลาดกันได้ ความผิดบางอย่างนั้นใหญ่โตก็จริง แต่มันก็ได้ให้โอกาสครั้งใหญ่แก่เขาเช่นกัน นั่นคือโอกาสในการเติบโต 

หลายปีหลังจากได้คุยกับชาร์ลีในวันนั้น ผมก็ทำแบบเดียวกันกับพนักงานของผม และพบว่ามันได้ช่วยให้คนจำนวนมากเป็นคนที่ดีขึ้น ผมยังได้เรียนรู้ด้วยว่า เวลาที่ควรจะซัดคนอื่น .. “ซัด” ในที่นี้ หมายถึง “ท้าทาย” คือเวลาที่เขากำลังรุ่ง เพื่อเตือนเขาว่า

เวลาที่นายกำลังขึ้น อย่าให้คอของนายชูขึ้นตามชีวิตไปด้วยก็แล้วกัน

———————————-

แหล่งที่มาข้อมูล : https://www.forbes.com/100-greatest-business-minds

จะเป็นนักสวนกระแสได้อย่างไร

[ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนจาก คาร์ล อิข่าห์น นักลงทุนเจ้าของฉายา “Corporate Raider” ผู้ชอบเข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทแล้วขายทรัพย์สินทิ้งทำกำไร ตีพิมพ์ลงใน Forbes Magazine เป็นหนึ่งในสุดยอดนักธุรกิจโลก 100 คน ที่ Forbes รวบรวมไว้ มาดูกันนะครับว่าเขาสอนอะไรเราบ้าง]

คาร์ล อิข่าห์น เขียน

ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

บางครั้ง หนทางทำเงินที่ดีที่สุด เกิดขึ้นเมื่อคนส่วนใหญ่บอกว่าคุณผิดหรือบ้าไปแล้ว มันไม่ง่ายเลย แต่ก็เหมือนกับบทกวีของ รุดยาร์ด คิปลิง ที่บอกว่า “หากหัวของคุณยังอยู่กับตัว ในขณะที่คนอื่นหัวหายไปหมดแล้ว” หากอารมณ์ของคุณตั้งมั่นพอ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝึกกันได้) คุณไม่ต้องไปสนใจเลยว่าพวกผู้เชี่ยวชาญจะว่าอย่างไร

การจะเป็นนักสวนกระแสนั้น ต้องทำอะไรหลายๆ อย่าง ต้องมีความแข็งแกร่งทางจิตใจ ไม่ใช่อยู่ๆ อยากสวนก็สวนได้

ตัวอย่างเช่น ตอนที่พันธบัตรขยะพังครืนเมื่อปี 1989 ในช่วงหลายวันแรก ผมน่าจะเป็นผู้ซื้อเพียงคนเดียว และแม้จะต้องรอหลายปี มันก็ทำให้เรารวยอื้อซ่าเลย ผมเชื่อว่าอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนในตอนนั้นเข้าทางผม เพราะผมรู้ว่าผมกำลังซื้อบริษัท ไม่ใช่แค่พันธบัตร

คุณไม่อาจทำถูกต้องเสมอไป และบางครั้งก็ต้องใช้เวลานานมากเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองทำถูก หลายครั้งที่คุณทำเร็วไป (เช่น ในวันนี้ ผมเชื่อว่าตลาดกำลังจะเจอวิกฤต และจะเกิดการปรับตัวลงครั้งใหญ่ ผมจึงเฮดจ์ไว้) ผู้คนมักคิดว่าผมบ้าไปแล้วตอนที่ผมซื้อโรงแรมสตราโทสเฟียในลาสเวกัสซึ่งเพิ่งจะล้มละลาย ตอนนั้นมันเป็นโรงแรมทางเหนือสุด เป็นฝั่งของเมืองที่แย่พอๆ กับประเทศโลกที่สาม จากนั้นผมก็ซื้อบ้านทุกหลังรอบๆ สตราโทสเฟีย ซึ่งแม้แต่คนในเวกัสและคนที่โรงแรมยังหาว่าผมบ้า

แต่อันที่จริง ผมซื้อกระท่อมและที่ดิน 24 เอเคอร์ข้างๆ สตราโทสเฟีย ที่ทำให้โรงแรมดูน่าดึงดูดนั่นต่างหาก และสุดท้าย โกลด์แมน แซคส์ ก็มาซื้อสตราโทสเฟียจากผม และเราก็ทำกำไรได้ 1 พันล้านเหรียญ

มันไม่ง่ายหรอก แต่ถ้าบางสิ่งในตัวคุณมันคลิก ตอนนั้นแหละที่ผมเอ็นจอยมากๆ

——————————–

แหล่งที่มาข้อมูล : https://www.forbes.com/100-greatest-business-minds