มารู้จักชายผู้ทำให้ปู่ซื้อหุ้น Apple กันเถอะ

ted-brk
โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
เป็นประจำทุกปี ที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะเปิดประมูลให้คนมารับประทานอาหารกลางวันกับแกหนึ่งมื้อ เพื่อเอาเงินไปช่วยการกุศล
สำหรับปี 2018 นี้ ผู้ชนะยอมจ่ายเงินถึง 3.3 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อให้ได้กระทบไหล่ปู่ โดยเงินทั้งหมดจากการประมูลผ่าน Ebay for Charity จะมอบให้แก่มูลนิธิ Glide เพื่อช่วยเหลือคนยากไร้
การประมูลครั้งนี้เป็นครั้งที่ 19 และที่ผ่านมาสามารถระดมทุนได้แล้วถึง 26 ล้านเหรียญ โดยยอดเงินปีนี้ เพิ่มสูงกว่าปีที่แล้วที่อยู่ที่ 2.6 ล้านเหรียญ ราวๆ 7 แสนเหรียญ
ในรอบนี้ ผู้ชนะซึ่งขอไม่เปิดเผยนาม จะได้ทานอาหารกับปู่ที่ร้านสเต็กในนิวยอร์ก และสามารถพาเพื่อนมาได้สูงสุดเจ็ดคน
แต่ใครจะรู้ว่า มีคนอยู่คนหนึ่ง ยอมทุ่มเงินถึงสองปีติดต่อกัน เพื่อให้ได้รับโอกาสนี้
เขาคือ “เท็ด เวลช์เลอร์” ซึ่งปัจจุบันมานั่งเป็นผู้จัดการกองทุนของเบิร์คเชียร์นั่นเอง
เวลช์เลอร์ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของบัฟเฟตต์มาเนิ่นนาน เขาจบการศึกษาจากวอร์ตัน  Business School ชั้นนำของโลก และเป็นผู้จัดการกองทุนที่ประสบความสำเร็จสูงมาก โดยบริหารเฮดจ์ฟันด์ของตัวเองมาสิบกว่าปี
ด้วยความที่คลั่งไคล้บัฟเฟตต์ ทำให้เท็ดยอม bid เงินก้อนโตเพื่อไปทานอาหารกับปู่ และชนะประมูลในปี 2010 และ 2011 ด้วยเงิน 2,626,311 และ 2,626,411 เหรียญ ตามลำดับ (ปีที่สองแพงกว่าปีแรก 100 เหรียญ)
เท็ดบอกว่า เขาได้เอาปรัชญาการลงทุนของบัฟเฟตต์มาใช้กับการบริหารกองทุนของตัวเองตั้งแต่เริ่มแรก แม้แต่การตั้งออฟฟิศ เขาก็เลือกที่จะอยู่ที่เวอร์จิเนีย ไม่ย้ายไปนิวยอร์ก เพื่อหลีกเลี่ยง “สิ่งเร้า” เหมือนปู่ที่ตั้งสำนักงานอยู่ที่โอมาฮา
ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่นั้น เท็ดกับปู่พูดคุยกันถูกคอมาก เนื่องจากแบ็คกราวด์คล้ายกัน ปู่เล่าด้วยว่า แกอยากรู้ว่าเท็ดบริหารเฮดจ์ฟันด์ประสบความสำเร็จขนาดไหน
ซึ่งแม้จะไม่ได้คำตอบในเวลานั้น แต่ข้อมูลก็ถูกเปิดเผยออกมาในภายหลังว่า จนถึงตอนนั้น (ปี 2011) ผู้ที่ลงทุนกับกองทุนของเท็ดตั้งแต่ปี 2000 ที่เขาตั้งกองทุน จะได้รับผลตอบแทนได้ถึง 1,236 เปอร์เซ็นต์!!
เรียกได้ว่า หมอนี่เป็นสุดยอดนักลงทุนอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ปู่ชวนเท็ดมาทำงานด้วยที่เบิร์คเชียร์ ว่ากันว่า ปู่ชวนเท็ดตั้งแต่ปีแรกที่กินข้าวกัน คือปี 2010 ก่อนจะชวนอีกครั้งในปี 2011 ซึ่งปู่ก็บอกว่า ตอนที่ชวนนั้น แกไม่รู้ว่าเท็ดจะสนใจหรือไม่ เพราะเท็ดก็บริหารกองทุนตัวเองจนรวยไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
ดังนั้น ถ้าเท็ดจะมา ย่อมไม่ใช่เหตุผลเรื่องเงินแน่ๆ
และสุดท้าย ก็อย่างที่รู้กัน คือเท็ดมาอยู่กับปู่จริงๆ หลังจากขอเวลากลับไปคิดหลายสัปดาห์ และไม่ต้องบอกก็คงเดากันได้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไร .. ก็ด้วยความชื่นชมที่เขามีต่อปู่นั่นเอง
ถามว่า คนๆ นี้มีผลต่อเบิร์คเชียร์ขนาดไหน?
คำตอบก็คือ เท็ด และคู่หู่อีกคนหนึ่ง คือ ท็อดด์ คอมบ์ส เป็นผู้ “เปิดเกม” ด้วยการซื้อหุ้น Apple จนทำให้ปู่ซึ่งแต่ไหนแต่ไหนไม่เคยสนใจหุ้นเทคโนโลยี ตัดสินใจทุ่มเงินซื้อตาม ทำเอางงกันไปทั้งโลก
จนปัจจุบันหุ้น AAPL คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของพอร์ต BRK !!
นี่คืออิทธิพลที่เท็ดมีต่อปู่!
ปัจจุบัน คู่หู เท็ดและท็อดด์ กลายเป็นกำลังหลักของเบิร์คเชียร์ และว่ากันว่าจะมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่านี้ ในวันที่ปู่ไม่อยู่กับพวกเราอีกต่อไปแล้ว
—————
ภาพประกอบจาก Flickr ของ Janis Jaquith

 

ช็อตต่อช็อต วิวาทะสุดคลาสสิก “มัสก์ – บัฟเฟตต์”

buff-munger-brk18

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

(บทความนี้เขียนเมื่อต้นเดือน พ.ค. 2018 หลังการประชุมผู้ถือหุ้นเบิร์คเชียร์ หนึ่งวัน)

เมื่อคืนนี้ ตามที่ผมได้นั่งฟังการประชุมผู้ถือหุ้นเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ และแปลลงเพจ Club VI กันสดๆ ไปแล้วนั้น หนึ่งในประเด็นที่มองว่าน่าสนใจและอยากเอามาถ่ายทอดต่อ คือคำถามเกี่ยวกับ moat หรือ “คูเมือง” สืบเนื่องจากคำกล่าวของ อีลอน มัสก์

เรื่องของเรื่องก็คือ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มัสก์ บอกกับนักวิเคราะห์ใน conference call แถลงผลประกอบการของเทสล่าว่า “ผมคิดว่า คูเมือง (moat) เป็นเรื่องไม่เข้าท่า” ก่อนจะบอกต่อว่า “มันฟังดูดีแบบโบราณๆ ออกจะเก่าคร่ำครึนะ” “ถ้าคุณเอาแต่ตั้งรับข้าศึกที่รุกรานเข้ามาอยู่หลังคูเมือง คุณอยู่ได้ไม่นานหรอก สิ่งสำคัญคือความรวดเร็วของนวัตกรรม นั่นแหละคือตัวตัดสินความสามารถในการแข่งขัน”

ถามว่าคำพูดกว้างๆ แบบนี้เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มัสก์ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อบัฟเฟตต์หรือชื่อใครสักหน่อย?

คำตอบคือ เพราะผู้ที่ยกเอาคำว่า moat หรือ “คูเมือง” มาเปรียบเทียบกับความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือ competitive advantage ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั่นเอง และมันก็ได้กลายเป็นการอุปมาอุปไมย “อมตะ” ชนิดที่ถ้าพูดเรื่องนี้จะนึกถึงคนอื่นไปเสียไม่ได้นอกจากปู่

ดังนั้น เมื่อ อีลอน มัสก์ บอกว่า moat “ไม่ได้เรื่อง” คนจึงมองว่าปู่ถูกลูบคม

ทีนี้ เรามาดูกันว่าปู่ตอบกลับเรื่องนี้อย่างไร

เมื่อได้ยินคำถามนี้ บัฟเฟตต์ยังไม่ทันตอบ แต่ ชาร์ลี มังเกอร์ ชิงตอบก่อน และตอบได้ฮามาก โดยบอกว่า

“อีลอนบอกว่า คูเมืองแบบดั้งเดิมนั้นมันโบราณคร่ำครึเกินไป ซึ่งมันก็จริง ถ้าน้ำที่ล้อมรอบมันเป็นแค่แอ่งน้ำตื้นๆ แล้วเขาก็บอกด้วยว่า คูเมืองที่ดีที่สุด คือการมีตำแหน่งที่ได้เปรียบในการแข่งขันมากๆ มันก็จริงอีกนั่นแหละ” ก่อนจะเว้นวรรคไปแป๊บนึงแล้วบอกว่า “แม่งตลกว่ะ” (it’s ridiculous) เรียกเสียงฮาลั่นที่ประชุม

มังเกอร์ยังพูดปิดท้ายด้วยว่า วอร์เรนคงไม่ได้คิดจะสร้างคูเมืองจริงๆ ขึ้นมาหรอก ความหมายคือ ที่พวกกูพูดมันก็คือการเปรียบเทียบเหมือนที่มึงพูดนั่นแหละ  แต่มึงบอกว่าผิด แล้วมึงก็พูดเหมือนกัน สรุปคือจะพูดขึ้นมาทำไมวะ?!!

buff-musk

จุดที่น่าสังเกตคือ บัฟเฟตต์ดูจะครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เหมือนพยายามระวังคำพูดไม่ให้ไปกระแทกมัสก์ (สุภาพตามนิสัยแก) ก่อนจะเอ่ยปากว่า

“แน่นอนว่าคุณต้องหมั่นปรับปรุงและป้องกันคูเมืองของตัวเองตลอดเวลา ในบางเรื่อง อีลอนอาจจะพลิกโฉมหน้ามือเป็นหลังมือได้” ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะมาขายลูกกวาดแข่งกับเรานะ”

ตีความได้ว่า อีลอนอาจจะสร้างธุรกิจล้ำยุค เปลี่ยนโลก แต่ถ้าเป็นธุรกิจดั้งเดิม คูเมืองแบบเดิมๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์อยู่ดี

(ร้านขายลูกกวาดที่ปู่หมายถึง คือ ซีส์ แคนดีส์ ร้านช็อคโกแล็ตเก่าแก่ชื่อดังในเครือเบิร์คเชียร์)

อย่างไรก็ตาม แม้พูดจาเกรงใจขนาดนี้แล้ว ผ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมง อีลอนยังทวีตกลับทันทีในทำนองว่า เขาพร้อมจะทำร้านขายลูกกวาดแข่งกับปู่ (หลายคนบอกว่า อีลอนตอบกลับในลักษณะคนที่ถูกท้าทาย) โดยใช้คำว่า “ผมจริงจังโคตรๆ เลยนะ”

ในความเห็นส่วนตัว ผมฟังยังไงก็ไม่เห็นว่าคำพูดของปู่จะท้าทายที่ตรงไหน เป็นแค่การบอกว่า ธุรกิจมันต่างกัน จึงมองต่างกัน และผมก็คิดว่า ถ้าอีลอนมาทำร้านขายขนมแข่งกับ ซีส์ แคนดีส์ ของปู่จริง มันก็ดูเหมือน “ชอบเอาชนะ” ไปสักหน่อย

ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าปู่บอกว่า “เขาคงไม่มาขายโคคาโคล่าแข่งกับเรา” อีลอนมิต้องไปทำบริษัทน้ำดำเพื่อเอาชนะโค้กให้ได้หรอกหรือ?!!

ทั้งหมดนี้ ผู้ยิ่งใหญ่เขาตอบโต้กัน เลยเอามาเล่าให้ฟังขำๆ อย่าซีเรียสนะครับ


ใครสนใจเรียนแกะงบออนไลน์ พร้อมเรียนสด ประเมินมูลค่าหุ้นและทำ DCF วันที่ 6 ต.ค. 2561 คลิกที่ลิงค์นี้เลย https://clubvi.com/valuationanddcf9/

Image credit : Yahoo Finance! Live streaming of Berkshire Hathaway AGM, Bloomberg magazine cover

 

AOT เป็นผู้ชนะเพราะอะไร?

aircraft-513641_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

วันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ค. 2561 หุ้นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ปิดตลาด ณ ราคา 71.50 บาท ที่ระดับ P/E 46 เท่า แม้จะไม่ใช่ new high แต่ก็ถือว่าค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสถิติราคาในอดีตที่ผ่านมาของหุ้นตัวนี้ 

แม้คนส่วนใหญ่ต่างบอกว่า หุ้น AOT “แพงไปแล้ว” ณ จุดนี้ แต่ผมไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวได้ เพียงอยากกล่าวถึง Key Success Factor หรือ “ปัจจัยสู่ความสำเร็จ” ของบริษัท โดยไม่เกี่ยวกับตัวหุ้น ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

ผมมองว่าปัจจัยสู่ความสำเร็จของ AOT มีสามประการ ดังต่อไปนี้

ประการแรก AOT มีอำนาจผูกขาดในระดับ “super monopoly” การมีสองสนามบินหลักอยู่ในพอร์ต ทำให้บริษัทควบคุมธุรกิจการบินของประเทศอย่างเบ็ดเสร็จชนิดไม่มีใครสู้ได้ และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาท้าทาย

ประการที่สอง ดังที่ ดร. นิเวศน์ เคยพูดไว้ว่า AOT เป็นบริษัทที่มี “high operational leverage” กล่าวคือ แม้จะใช้เงินลงทุนสูง แต่เมื่อลงทุนถึงจุดหนึ่ง บริษัทจะผลิตกระแสเงินสดได้เป็นกอบเป็นกำ โดยแทบไม่ต้องใส่เงินลงไปเพิ่มอีกเลย เรียกได้ว่า “นอนตีกิน” ไปได้ยาวๆ

china-669547_960_720
ประการที่สาม คงหนีไม่พ้น เทรนด์ “จีนเที่ยวไทย” ที่นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินมังกรเข้ามาท่องแดนสยามกันมากมายในแต่ละปีจนสนามบินแทบแตก ทำให้ AOT ได้อานิสงค์ไปเต็มๆ แม้จะโดนผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญไปบ้าง ก็ยังฟื้นคืนกลับมาได้

นอกจากนี้ ปัจจัยที่สาม ยังครอบคลุมถึงการเติบโตของธุรกิจ low-cost airline ในประเทศ ที่ไม่ว่าจะแข่งขันกันดุเดือดเพียงใด ในฐานะผู้บริหารสนามบิน AOT  ก็มีแต่ “ได้” กับ “ได้”

นอกจากทั้งสามปัจจัยข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งเหตุการณ์ในอดีตที่จะลืมเสียไม่ได้ อันเป็น “จุดเปลี่ยน” ทำให้บริษัทผงาดขึ้นมาทำกำไรในระดับนี้ คือการที่ “สนามบินดอนเมือง” ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทั้งๆ ที่โดนปลดระวางไปแล้วก่อนหน้านั้น

การเอาดอนเมืองกลับมาใช้งาน คือการ “utilize asset” ที่มีอยู่เดิม โดยบริษัทแทบไม่ต้องลงทุนเพิ่มใดๆ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์พร้อมใช้ ต่างจากการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 – 3 ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนก้อนโต

กำไรเป็นกอบเป็นกำจากดอนเมือง จึงเป็นเสมือน “ลาภลอย” ไหลพรั่งพรูเข้ามาต่อเนื่องไม่รู้จบ จนถึงทุกวันนี้

ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งส้ินต่อ “ตัวหุ้น” AOT บอกได้แต่เพียงว่า หากเจอบริษัทไหนที่มีปัจจัยแห่งชัยชนะเหมือนๆ กัน ได้แก่ 1) super monopoly 2) high operational leverage และ 3) สอดคล้องกับเทรนด์  ก็สมควรที่จะเอามาพิจารณาอย่างจริงจัง

ส่วนลาภลอยนั้นอย่าไปสนใจ เพราะเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หากได้มาก็ถือว่าโชคดีไปครับ


** หลักสูตร  “ประเมินมูลค่าหุ้น และ DCF” รุ่น ๘  สอนทำ valuation อย่างมืออาชีพ 26 พ.ค. 61 ที่โรงแรม ดิ เอมเมอรัล รัชดา คลิกที่นี่

** หลักสูตร “อ่านงบการเงิน” ออนไลน์ รับชมทาง Facebook Closed Group คลิกที่นี่