จอห์น โบเกิล “ชนะ” เพราะความ “ง่าย”

เรียบเรียงโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

จอห์น ซี. “แจ็ค” โบเกิล เป็นสุดยอดนักลงทุนโลกคนหนึ่ง เขาเกิดที่นิวเจอร์ซีในปี 1929 (เกิดก่อน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปีเดียว) ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” หรือ Great Depression ทำให้ครอบครัวของเขาถูกผลกระทบอย่างหนัก แต่โบเกิลก็ได้ทุนเรียนฟรีจนจบมัธยมฯ ด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่งและหัวดี

หลังจบปริญญาตรีจากมหาลัยชั้นนำอย่าง Princeton University และปริญญาโทจาก University of Pensylvania เขาเข้าทำงานที่ Wellington Management Company และใช้ความสามารถไต่เต้าจนได้เป็นถึงประธานบริษัท แต่ต่อมากลับถูกไล่ออก จากการตัดสินใจควบรวมกิจการที่ผิดพลาดและทำให้บริษัทเสียหายอย่างรุนแรง

โบเกิลบอกว่า ความผิดพลาดดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าอับอายและแก้ตัวไม่ได้ แต่มันก็ช่วยให้เขาได้เรียนรู้มากมาย

โบเกิลก่อตั้ง กลุ่มแวนการ์ด (Vanguard group) ในปี 1974 และปั้นแวนการ์ดจนกลายเป็นบริษัทกองทุนขนาดใหญ่อันดับสองของโลก เขาเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนอิงดัชนี แวนการ์ด S&P 500 ซึ่งถือเป็นกองทุนอิงดัชนีกองแรกในประวัติศาสตร์ที่ออกขายให้กับประชาชนทั่วไป 

โบเกิลบอกเสมอว่า กองทุนอิงดัชนีนั้นให้ผลตอบแทนเหนือกว่ากองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนเก่งๆ บริหารให้ หลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว

หลักการลงทุนของเขามีจุดเด่นคือความ “ง่าย” เขาเน้นให้ลงทุนด้วย “สามัญสำนึก” ทำอะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องแปลกพิสดาร ก็สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีได้

นอกจากนี้ เขายังเขียนหนังสือ Common Sense on Mutual Funds: New Imperatives for the Intelligent Investor พูดถึงการเลือกลงทุนในกองทุนอย่างชาญฉลาดด้วย

ในเว็บไซต์ วิกิพีเดีย ได้ระบุกฎ 8 ข้อของโบเกิลในการเลือกซื้อกองทุนไว้ดังนี้

1. ให้เลือกกองทุนอิงดัชนีที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำๆ
2. ระวังค่าธรรมเนียมคำปรึกษาที่ถูกบวกเพิ่มเข้ามา
3. อย่าให้ความสำคัญกับผลงานในอดีตของกองทุนมากจนเกินไป
4. จงดูผลงานในอดีตของกองทุน เพื่อให้รู้ถึงความสม่ำเสมอและความเสี่ยงของกองทุนนั้นๆ เท่านั้น
5. ระวังพวกกองทุนดังๆ (และระวังพวกผู้จัดการกองทุนดังๆ ด้วย)
6. จงพิจารณาขนาดสินทรัพย์ของกองทุน
7. อย่าถือกองทุนไว้หลายกองจนเกินไป
8. จงสร้างพอร์ตด้วยการซื้อกองทุนมาสะสม แล้วถือมันไว้

โบเกิลถือเป็นนักลงทุนที่สร้างผลกระทบให้กับแวดวงการลงทุนโลกอย่างมาก โดยเฉพาะการตั้ง Index Fund กองแรกที่ออกขายต่อสาธารณะ อันเป็นต้นแบบให้มี Index Fund อีกมากมายจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังถ่ายทอดความรู้ผ่านงานเขียนต่างๆ โดยให้คำแนะนำที่ง่ายและทุกคนสามารถทำตามได้อีกด้วย

[ ข้อมูลประกอบจาก wikipedia, Investopedia.com]

EBITDA กำไรที่ไม่ลวงตา

EBITDA

ชนิดา พัธโนทัย

ในตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึง EBIT โดยทิ้งท้ายกันไปว่า ยังมีกำไรอีกตัวหนึ่งซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน และนักลงทุนหลายคนเน้นเป็นพิเศษ นั่นก็คือ กำไรที่เรียกว่า “EBITDA”

EBITDA หมายถึง “กำไรจากการดำเนินงานที่อยู่ในรูปของเงินสดจริงๆ” ได้จากการนำ EBIT มาบวกด้วย DA โดย DA ในที่นี้หมายถึง “ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย” (Depreciation and Amortization) ซึ่งเป็นรายการที่เราสามารถหาได้จากงบกระแสเงินสด

ทีนี้ถามว่า เหตุใดเราจึงต้องนำ “DA” ไปบวก EDIT ด้วย คำตอบก็คือ เนื่องจาก DA ถือเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี ซึ่งบริษัทไม่ได้ควักเงินสดจ่ายออกไปจริง ดังนั้น ถ้าอยากรู้กำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสดจริงๆ ก็ต้องนำ DA บวกกลับเข้าไป

หลายคนอาจสงสัยว่า ค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินสดออกไปจริงก็มีอยู่ตั้งหลายตัว ทำไมไม่นำมาบวกกลับบ้าง คำตอบก็คือ เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมีมูลค่าไม่สูงมากนัก ต่างจาก DA ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงจนถึงระดับที่ถือได้ว่ามีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจบางประเภท

อาทิ ธุรกิจที่ลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก ใช้เครื่องจักรมูลค่าสูงๆ รวมทั้งพวกธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ไปจนถึงธุรกิจที่มีลักษณะ “Capital intensive” คือต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ยังรวมถึงธุรกิจที่ต้องได้รับใบอนุญาตหรือสัมปทาน เช่น โอเปอเรเตอร์โทรศัพท์มือถือ หรือระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ทางด่วน รถไฟฟ้า เป็นต้น

โดยธรรมชาติแล้ว กิจการพวกนี้จะมี DA สูงมาก ทำให้บริษัทมีกำไรที่แฝงอยู่ในรูปเงินสดมากกว่ากำไรที่เราเห็นในงบการเงิน (EBIT)

ตัวอย่างเช่น จากงบการเงินประจำปี 2556 ของ ADVANC บริษัทมีกำไรสุทธิ 36,274 ล้านบาท EBIT อยู่ที่ 46,765 ล้านบาท ในขณะที่มี EBITDA สูงถึง 63,691 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า ส่วนที่เป็น “DA” นั้นสูงมาก คิดเป็นตัวเลขเท่ากับ 16,926 ล้านบาท เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่ ADVANC กล้าจ่ายปันผลถึง 100% ของกำไรสุทธิ พูดง่ายๆ ก็คือ มีกำไรเท่าไร จ่ายปันผลออกมาหมดนั่นเอง (บริษัทระบุนโยบายการจ่ายปันผลไว้ชัดเจนว่าจะจ่าย “ไม่ต่ำกว่า 100%” ของกำไรสุทธิ)

บางคนอาจถามต่อว่า ธุรกิจประเภทนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงไม่ใช่หรือ ถ้าเอาเงินสดมาจ่ายปันผลหมด แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุนต่อ

ก็อย่างที่บอกไปค่ะ เนื่องจาก EBITDA มีอยู่ถึง 63,691 ล้านบาท แม้จะจ่ายปันผลตั้ง 36,274 ล้านบาท ก็ยังมีเงินสดเหลืออยู่ในบริษัทกว่า 27,000 ล้านบาท เพียงพอที่จะเอาไปลงทุนอย่างแน่นอน

จากที่อธิบายมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า EBITDA คือ “กำไรที่ไม่ลวงตา” เป็นกำไรในรูปเงินสดที่จับต้องได้จริงๆ และเป็นสิ่งที่วีไอพันธุ์แท้ไม่ควรละเลยด้วยประการทั้งปวงค่ะ


** หลักสูตร  “ประเมินมูลค่าหุ้น และ DCF” รุ่น ๘  สอนทำ valuation อย่างมืออาชีพ 26 พ.ค. 61 ที่โรงแรม ดิ เอมเมอรัล รัชดา  คลิกที่นี่

ร่วมสร้างคุณค่าไปด้วยกัน

3anniversary

ผมกับเพื่อนๆ ตั้งกลุ่ม Club VI ในวันที่ 4 ก.ค. 2011 หรือวันนี้ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

“4 ก.ค.” คือ Independence Day หรือ “วันประกาศอิสรภาพ” ที่พวกเราถือเป็นฤกษ์ดี สำหรับการปลุกให้ผู้คน มุ่งหา “อิสรภาพทางการเงิน” ด้วยแนวทางการลงทุนแบบเน้นมูลค่า

ผมเชื่อว่า แม้ต้นทุนของคนเราจะไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีศักยภาพพอที่จะได้รับอิสระในการใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ

ขอเพียงมีความมุ่งมั่น และเชื่อว่าตัวเอง “ทำได้”

ถึงที่สุดแล้ว มันอยู่ที่ตัวเราเอง ว่าเรากล้าที่จะเปลี่ยน “ชีวิตในวันนี้” เพื่อ “ชีวิตที่ต้องการในวันข้างหน้า” หรือไม่

สำหรับผมและเพื่อนๆ อีกหลายคน ด้วย “ความเชื่อ” ของตัวเองในอดีต จึงกลายเป็น “ความจริง” ในวันนี้ วันที่ได้ทำแต่งานที่รัก และมั่นใจว่า “มีคุณค่า”

ทว่าเราจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของ “คุณค่า” นั้น ได้อย่างไร หากไม่มีทุกคนคอยติดตามผลงาน และทำให้เรารู้สึกถึงมัน .. เรื่อยมา

3 ปี Club VI ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม การสนับสนุน และกำลังใจ

เราจะร่วม “สร้างคุณค่า” ต่อไป .. ด้วยกัน

ขอบคุณมากครับ

Club VI

4 ก.ค. 2014
ครบรอบ 3 ปี คลับ วีไอ