กระเป๋า NaRaYa มีดีอะไร?

naraya-cover.jpg

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

เทรนด์ “จีนเที่ยวไทย” ที่นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินมังกรแห่กันมาบุกสยามประเทศนั้น กำลังแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกพักใหญ่ หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงรุนแรงจริงๆ

นอกจากธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว สินค้าต่างๆ ของไทยที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมชมชอบ ก็พลอยได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้ไปเต็มๆ ชนิด “ไม่อยากรวยก็ต้องรวย”

ไม่ว่าจะเป็นสาหร่ายเถ้าแก่น้อย (TKN), ร้านเครื่องสำอาง BEAUTY, ครีม Snail White, ยาดมโป๊ยเซียน, กอเอี๊ยะไทเกอร์บาล์ม, มะม่วงกรอบ, ทุเรียนทอด, นมอัดเม็ดจิตรลดา ฯลฯ

แต่ที่ผมมองว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ คือกระเป๋ายี่ห้อ NaRaYa (นารายา) เนื่องจากสินค้าแบรนด์นี้นอกจากจะ “ฮิตสุดๆ” ในหมู่คนจีนแล้ว แม้แต่คนญี่ปุ่นก็ยังชื่นชอบ ต้องถือว่ามีไม่บ่อยครั้งนักที่คนสองชาติซึ่งต่างกันสุดขั้ว จะมาชอบของแบรนด์เดียวกัน

ผมลองสอบถามจากเพื่อนคนจีนและญี่ปุ่น รวมทั้งคนไทยที่ชอบกระเป๋า NaRaYa (แม้จะมีไม่มากนัก) ว่ามองกระเป๋าแบรนด์นี้ว่ามีดีตรงไหน ส่วนใหญ่มักตอบมาเหมือนๆ กันว่า “สวยและถูก”

เท่าที่ผมเข้าไปเดินดูในร้านอยู่หลายครั้ง ก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ สินค้าของ NaRaYa ทำออกมาได้น่ารัก หลากสีสัน ที่ฉลาดมากๆ คือ มักจะทำออกมาเป็น set จึงดึงดูดให้ลูกค้า “ซื้อยกชุด” และด้วยความที่ราคาไม่แพง จึงเหมาะที่จะซื้อเป็นจำนวนมากๆ ไปฝากเพื่อนฝูงและคนในครอบครัว

IMG_5826

จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ “การตั้งราคาต่ำ” (low-price strategy) ของ NaRaYa ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะทำให้เกิด “การซื้อฝาก” จึงช่วยให้สินค้าแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว เป็นการยืมมือลูกค้าช่วยประชาสัมพันธ์โดยไม่ต้องเปลืองแรง

และจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีน ผมบอกได้เลยว่า NaRaYa “จุดติด” มากๆ ในแดนมังกร ขนาดเหล่าซือที่สอนภาษาจีนผม เป็นคนเสฉวน ทุกวันนี้ยังไม่เคยมาเที่ยวเมืองไทย แต่เธอกลับรู้จักกระเป๋า “ม่านกู่เปา” (曼谷包 ชื่อเรียก NaRaYa ในหมู่คนจีน แปลเป็นไทยว่า “กระเป๋ากรุงเทพ”) มานานแล้ว เธอบอกว่าชอบมากๆ สวยมาก แต่พอผมจะซื้อฝากก็ไม่เอา บอกว่าเดี๋ยวจะมาเลือกที่เมืองไทยเองดีกว่า

โดยสรุป ผมมองว่าความสำเร็จของ NaRaYa เกิดจากปัจจัยต่อไปนี้

  1. ดีไซน์ที่สวย น่ารัก มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย เหมาะที่จะซื้อเป็นที่ระลึกหรือของฝาก เพราะบอกได้ว่ามาจากประเทศไทย
  2. ราคาถูก ทำให้เกิดการซื้อฝากจำนวนมากๆ เป็นการ “ยืมมือลูกค้า” เพื่อประชาสัมพันธ์โพรดักส์ไปในตัว
  3. การออกสินค้ามาเป็นเซต ช่วยดึงดูดให้คนซื้อหลายๆ ชิ้น ซึ่งน่าจะเพิ่มยอดซื้อต่อบิลให้มากขึ้นกว่าเดิม
  4. สินค้าจุดติด กลายเป็นของที่ “ต้องซื้อ” จนประสบความสำเร็ตติดลมบนถึงทุกวันนี้

ก็ขอฝากเอาไว้เป็นโมเดลแห่งความสำเร็จประมาณนี้ เผื่อใครที่คิดอยากทำสินค้าจับเทรนด์จีนเที่ยวไทย จะได้ประยุกต์ไปใช้เป็นแบบอย่าง ไม่แน่อาจจะรวยเป็นรายต่อไปครับ

กุญแจสามดอกของ AOT

airport-1105980_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมเขียนบทความน้ีตอนเย็นวันจันทร์ที่ 24 กรกฏาคม 2560 โดยหุ้น AOT เพิ่งปิดตลาด ณ ราคา 51.75 บาท ถือเป็น “นิวไฮ” อีกครั้ง หลังแตะระดับสูงสุดใหม่มาแล้วหลายหนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

แม้คนส่วนใหญ่ต่างบอกว่า หุ้น AOT “แพงไปแล้ว” ณ จุดนี้ แต่ผมไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวได้ เพียงอยากกล่าวถึง Key Success Factor หรือ “ปัจจัยสู่ความสำเร็จ” ของบริษัท โดยไม่เกี่ยวกับตัวหุ้น ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

ผมมองว่าปัจจัยสู่ความสำเร็จของ AOT มีสามประการ ดังต่อไปนี้

ประการแรก AOT มีอำนาจผูกขาดในระดับ “Super Monopoly” การมีสองสนามบินหลักอยู่ในพอร์ต ทำให้บริษัทควบคุมธุรกิจการบินของประเทศอย่างเบ็ดเสร็จชนิดไม่มีใครสู้ได้ และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาท้าทาย

ประการที่สอง ดังที่ ดร. นิเวศน์ เคยพูดไว้ว่า AOT เป็นบริษัทที่มี “high operational leverage” กล่าวคือ แม้จะใช้เงินลงทุนสูง แต่เมื่อลงทุนถึงจุดหนึ่ง บริษัทจะผลิตกระแสเงินสดได้เป็นกอบเป็นกำ โดยแทบไม่ต้องใส่เงินลงไปเพิ่มอีกเลย เรียกได้ว่า “นอนตีกิน” ไปได้ยาวๆ

china-669547_960_720
ประการที่สาม คงหนีไม่พ้น เทรนด์ “จีนเที่ยวไทย” ที่นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินมังกรเข้ามาท่องแดนสยามกันมากมายในแต่ละปีจนสนามบินแทบแตก ทำให้ AOT ได้อานิสงค์ไปเต็มๆ แม้จะโดนผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญไปบ้าง ก็น่าจะฟื้นคืนกลับมาได้

นอกจากนี้ ปัจจัยที่สาม ยังครอบคลุมถึงการเติบโตของธุรกิจ low-cost airline  ในประเทศ ที่ไม่ว่าจะแข่งขันกันดุเดือดเพียงใด ในฐานะผู้บริหารสนามบิน AOT  ก็มีแต่ “ได้” กับ “ได้”

นอกจากทั้งสามปัจจัยข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งเหตุการณ์ในอดีตที่จะลืมเสียไม่ได้ อันเป็น “จุดเปลี่ยน” ทำให้บริษัทผงาดขึ้นมาทำกำไรในระดับนี้ คือการที่ “สนามบินดอนเมือง” ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทั้งๆ ที่โดนปลดระวางไปแล้วก่อนหน้านั้น

การเอาดอนเมืองกลับมาใช้งาน คือการ “utlize asset” ที่มีอยู่เดิม โดยบริษัทแทบไม่ต้องลงทุนเพิ่มใดๆ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์พร้อมใช้ ต่างจากการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 – 3 ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนก้อนโต

กำไรเป็นกอบเป็นกำจากดอนเมือง จึงเป็นเสมือน “ลาภลอย” ไหลพรั่งพรูเข้ามาต่อเนื่องไม่รู้จบ จนถึงทุกวันนี้

ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งส้ินต่อ “ตัวหุ้น” AOT บอกได้แต่เพียงว่า หากเจอบริษัทไหนที่มีปัจจัยแห่งชัยชนะเหมือนๆ กัน ได้แก่ 1) Super Monopoly 2) high operational leverage และ 3) สอดคล้องกับเทรนด์  ก็สมควรที่จะเอามาพิจารณาอย่างจริงจัง

ส่วนลาภลอยนั้นอย่าไปสนใจ เพราะเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หากได้มาก็ถือว่าโชคดีไปครับ

หนึ่งวันของบัฟเฟตต์

12249651_1057991477586212_3387239749019485759_nโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

อยากรู้ไหมครับว่า ในแต่ละวันของนักลงทุนที่ดีที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้น แกทำอะไรบ้าง

กิจวัตรในวันปกติของปู่ แกจะขับรถจากบ้านซึ่งอยู่มากว่าสี่สิบปี ระยะทางประมาณ 1.5 ไมล์ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่อไปทำงานที่ตึกคีวิต พลาซ่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ โดยแกนั่งทำงานที่นั่นมาสี่สิบกว่าปีเช่นกัน

เมื่อไปถึงที่ทำงานตอนเช้าเวลาไม่เกินแปดโมงครึ่ง ปู่จะนั่งลงที่โต๊ะ และเริ่มต้นวันด้วยการเปิดโทรทัศน์ช่อง CNBC แต่ปิดเสียงไว้ แล้วเอาหนังสือพิมพ์ วารสาร ตลอดจนจดหมายข่าวต่างๆ มาไล่อ่านไปเรื่อยๆ พลางเหลือบมองดูจอทีวีเป็นระยะ

หลังจากนั้นทั้งวัน ปู่ก็จะไล่อ่านข้อมูลของบริษัทในเครือเบิร์คเชียร์ที่เข้ามาในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นอีเมล จดหมาย แฟกซ์ ดูว่าบริษัทไหนเป็นอย่างไร ยอดขายสัปดาห์ที่แล้วเป็นเท่าไร ธุรกิจในยุโรปเป็นอย่างไรบ้าง รวมทั้งทุกๆ แง่มุมเกี่ยวกับธุรกิจ 

จะเห็นได้ว่า การติดตามบริษัทที่อยู่ในพอร์ตของเบิร์คเชียร์ คือ “งานหลัก” ของปู่

จากนั้น เมื่อมีเวลาว่าง ปู่ก็จะเอา Annual Report หรือรายงานประจำปีของบริษัทที่ BRK ไม่ได้มีหุ้นอยู่นับเป็นร้อยๆ บริษัทออกมาอ่าน บ้างก็เป็นบริษัทที่แกสนใจ บ้างก็ “อ่านเผื่อไว้เฉยๆ”

ในระหว่างที่อ่านโน่นอ่านนี่อยู่นั้น ก็จะมีโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะ และเข้ามาแทบจะทั้งวัน ซึ่งถ้ารับได้แกก็จะรับเอง แต่หากเป็นสายซ้อน เลขาฯ แกจะรับให้ โดยบางคนที่โทรเข้ามาเป็นครั้งแรกถึงกับช็อค เมื่อพบว่าเสียงที่ปลายสาย คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์

จะเห็นได้ว่า วันทั้งวันของปู่ หลักๆ ก็มีแค่การ “อ่าน” กับ “รับโทรศัพท์” อยู่อย่างนี้ ยกเว้นบางวันที่แกต้องออกไปประชุมคณะกรรมการของบริษัทในเครือ หรือออกไปพบเพื่อนฝูง จึงจะแตกต่างไปจากนี้

ในช่วงค่ำ แกมักจะไปดินเนอร์ที่ร้านเดิมๆ ซึ่งมักจะเป็นร้านสเต๊กหรือแฮมเบอร์เกอร์ หลังจากนั้นจึงกลับบ้านมาเล่นเกมบริดจ์ทางอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นแกมักจะร้องหา “เครื่องดื่มโค้ก”เป็นระยะ คำพูดที่พูดประจำคือ “แอสทริด (ชื่อภรรยาคนที่สอง) ขอโค้กกระป๋องนึง”

โดยรวมๆ ปู่ใช้เวลาเล่นบริดจ์ออนไลน์ประมาณ 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และดื่มโค้กตั้งแต่เช้าจนเข้านอนประมาณ 4 กระป๋องต่อวัน

ทั้งหมดนี้ คือกิจวัตรประจำวันของวอร์เรน บัฟเฟตต์ บุรุษที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งทุกคนสามารถปรับเอาไปใช้กับชีวิตตัวเองได้

ผมอยากชี้ให้เห็นว่า แม้ชีวิตของปู่จะดูเรียบง่ายจนน่าเบื่อ แต่แกทำเฉพาะใน “สิ่งที่มีสาระ” และมีการ “จัดลำดับความสำคัญ” ไว้เป็นอย่างดี เช่น แกจะให้เวลากับ “บริษัทในเครือ” ก่อน จากนั้นเมื่อมีเวลาว่างจึงแบ่งเวลาไปศึกษาข้อมูลของบริษัทอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ เป็นความสำคัญในลำดับรองๆ ลงมา

นอกจากนี้ แกไม่เคยเสียเวลาให้กับอะไรที่ไร้ประโยชน์ แกขับรถไปทำงานแค่ห้านาที เลิกงานแล้วก็ไม่ได้ไปกินอาหารหรูหรา หรือสังสรรค์ที่ไหน รีบกิน รีบกลับบ้าน และแม้เวลาพักผ่อนก็ยังมาเล่นเกมบริดจ์ ซึ่งเป็นเกมลับสมอง ไม่ได้ไปตามจับโปเกมอนหรืออ่านไทม์ไลน์เฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ 

แม้วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะรวยกว่าเรามหาศาล แต่สิ่งหนึ่งที่แกกับเรามีไม่ได้ต่างกันเลยคือ “เวลา” และการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิผลนี่แหละ ที่ทำให้แกยิ่ง “ห่าง” กับคนธรรมดาอย่างเราๆ มากขึ้นไปอีก

รู้อย่างนี้แล้ว เราๆ ท่านๆ ก็ควรจะบริหารเวลาของตัวเองกันให้ดีๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน จะทำอย่างไร คุณเลือกเองครับ!


คอร์สสัมมนาหุ้นโดย Club VI 5-6 พ.ย. นี้ คลิกที่นี่