ช็อตต่อช็อต วิวาทะสุดคลาสสิก “มัสก์ – บัฟเฟตต์”

buff-munger-brk18

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

(บทความนี้เขียนเมื่อต้นเดือน พ.ค. 2018 หลังการประชุมผู้ถือหุ้นเบิร์คเชียร์ หนึ่งวัน)

เมื่อคืนนี้ ตามที่ผมได้นั่งฟังการประชุมผู้ถือหุ้นเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ และแปลลงเพจ Club VI กันสดๆ ไปแล้วนั้น หนึ่งในประเด็นที่มองว่าน่าสนใจและอยากเอามาถ่ายทอดต่อ คือคำถามเกี่ยวกับ moat หรือ “คูเมือง” สืบเนื่องจากคำกล่าวของ อีลอน มัสก์

เรื่องของเรื่องก็คือ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มัสก์ บอกกับนักวิเคราะห์ใน conference call แถลงผลประกอบการของเทสล่าว่า “ผมคิดว่า คูเมือง (moat) เป็นเรื่องไม่เข้าท่า” ก่อนจะบอกต่อว่า “มันฟังดูดีแบบโบราณๆ ออกจะเก่าคร่ำครึนะ” “ถ้าคุณเอาแต่ตั้งรับข้าศึกที่รุกรานเข้ามาอยู่หลังคูเมือง คุณอยู่ได้ไม่นานหรอก สิ่งสำคัญคือความรวดเร็วของนวัตกรรม นั่นแหละคือตัวตัดสินความสามารถในการแข่งขัน”

ถามว่าคำพูดกว้างๆ แบบนี้เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มัสก์ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อบัฟเฟตต์หรือชื่อใครสักหน่อย?

คำตอบคือ เพราะผู้ที่ยกเอาคำว่า moat หรือ “คูเมือง” มาเปรียบเทียบกับความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือ competitive advantage ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั่นเอง และมันก็ได้กลายเป็นการอุปมาอุปไมย “อมตะ” ชนิดที่ถ้าพูดเรื่องนี้จะนึกถึงคนอื่นไปเสียไม่ได้นอกจากปู่

ดังนั้น เมื่อ อีลอน มัสก์ บอกว่า moat “ไม่ได้เรื่อง” คนจึงมองว่าปู่ถูกลูบคม

ทีนี้ เรามาดูกันว่าปู่ตอบกลับเรื่องนี้อย่างไร

เมื่อได้ยินคำถามนี้ บัฟเฟตต์ยังไม่ทันตอบ แต่ ชาร์ลี มังเกอร์ ชิงตอบก่อน และตอบได้ฮามาก โดยบอกว่า

“อีลอนบอกว่า คูเมืองแบบดั้งเดิมนั้นมันโบราณคร่ำครึเกินไป ซึ่งมันก็จริง ถ้าน้ำที่ล้อมรอบมันเป็นแค่แอ่งน้ำตื้นๆ แล้วเขาก็บอกด้วยว่า คูเมืองที่ดีที่สุด คือการมีตำแหน่งที่ได้เปรียบในการแข่งขันมากๆ มันก็จริงอีกนั่นแหละ” ก่อนจะเว้นวรรคไปแป๊บนึงแล้วบอกว่า “แม่งตลกว่ะ” (it’s ridiculous) เรียกเสียงฮาลั่นที่ประชุม

มังเกอร์ยังพูดปิดท้ายด้วยว่า วอร์เรนคงไม่ได้คิดจะสร้างคูเมืองจริงๆ ขึ้นมาหรอก ความหมายคือ ที่พวกกูพูดมันก็คือการเปรียบเทียบเหมือนที่มึงพูดนั่นแหละ  แต่มึงบอกว่าผิด แล้วมึงก็พูดเหมือนกัน สรุปคือจะพูดขึ้นมาทำไมวะ?!!

buff-musk

จุดที่น่าสังเกตคือ บัฟเฟตต์ดูจะครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เหมือนพยายามระวังคำพูดไม่ให้ไปกระแทกมัสก์ (สุภาพตามนิสัยแก) ก่อนจะเอ่ยปากว่า

“แน่นอนว่าคุณต้องหมั่นปรับปรุงและป้องกันคูเมืองของตัวเองตลอดเวลา ในบางเรื่อง อีลอนอาจจะพลิกโฉมหน้ามือเป็นหลังมือได้” ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะมาขายลูกกวาดแข่งกับเรานะ”

ตีความได้ว่า อีลอนอาจจะสร้างธุรกิจล้ำยุค เปลี่ยนโลก แต่ถ้าเป็นธุรกิจดั้งเดิม คูเมืองแบบเดิมๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์อยู่ดี

(ร้านขายลูกกวาดที่ปู่หมายถึง คือ ซีส์ แคนดีส์ ร้านช็อคโกแล็ตเก่าแก่ชื่อดังในเครือเบิร์คเชียร์)

อย่างไรก็ตาม แม้พูดจาเกรงใจขนาดนี้แล้ว ผ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมง อีลอนยังทวีตกลับทันทีในทำนองว่า เขาพร้อมจะทำร้านขายลูกกวาดแข่งกับปู่ (หลายคนบอกว่า อีลอนตอบกลับในลักษณะคนที่ถูกท้าทาย) โดยใช้คำว่า “ผมจริงจังโคตรๆ เลยนะ”

ในความเห็นส่วนตัว ผมฟังยังไงก็ไม่เห็นว่าคำพูดของปู่จะท้าทายที่ตรงไหน เป็นแค่การบอกว่า ธุรกิจมันต่างกัน จึงมองต่างกัน และผมก็คิดว่า ถ้าอีลอนมาทำร้านขายขนมแข่งกับ ซีส์ แคนดีส์ ของปู่จริง มันก็ดูเหมือน “ชอบเอาชนะ” ไปสักหน่อย

ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าปู่บอกว่า “เขาคงไม่มาขายโคคาโคล่าแข่งกับเรา” อีลอนมิต้องไปทำบริษัทน้ำดำเพื่อเอาชนะโค้กให้ได้หรอกหรือ?!!

ทั้งหมดนี้ ผู้ยิ่งใหญ่เขาตอบโต้กัน เลยเอามาเล่าให้ฟังขำๆ อย่าซีเรียสนะครับ


ใครสนใจเรียนแกะงบออนไลน์ พร้อมเรียนสด ประเมินมูลค่าหุ้นและทำ DCF วันที่ 6 ต.ค. 2561 คลิกที่ลิงค์นี้เลย https://clubvi.com/valuationanddcf9/

Image credit : Yahoo Finance! Live streaming of Berkshire Hathaway AGM, Bloomberg magazine cover

 

จากแดเนียล ถึงไกด์แอน ถ้าวิธีมันใช่ อะไรๆ ก็ถูก

money-2696229_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

แดเนียล ทาวน์ เป็นทนายความสาวประจำสำนักงานกฏหมายชาวอเมริกันวัย 36 ปี เธอทำงานมาระยะหนึ่งจนเริ่มรู้สึกเบื่องาน และอยากหาทางสร้างรายได้เพื่อที่จะได้เกษียณตัวเองเร็วๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินเดือน

ด้วยความที่พ่อของเธอเป็นนักเขียนหนังสือลงทุน เธอจึงได้ยินเรื่องราวของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะกฏสองข้อของปู่ที่ก้องอยู่ในหู คือ ข้อ 1 อย่าเสียเงิน และข้อ 2 อย่าลืมกฏข้อ 1

ทีแรก แดเนียลเน้นที่การออมเงิน ก่อนจะพบว่ายิ่งเก็บเงินสดไว้มูลค่าของมันยิ่งลดลง เธอจึงคิดได้ว่า เธอควรเริ่มลงทุนอย่างจริงจังเสียที แดเนียลจึงโทรหาพ่อเพื่อขอคำปรึกษา ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า “การลงทุนเน้นมูลค่า” เท่านั้น คือคำตอบของชีวิตเธอ

“พ่อบอกฉันว่า ให้ซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาลด ซึ่งแม้ราคาหุ้นจะต่ำลง ฉันก็ไม่ต้องกังวล แค่ถือไปเรื่อยๆ จนมันกลับมา และอย่าขายทิ้งเป็นพอ”

แดเนียลรู้ดีว่า การเลือกหุ้นส่งๆ นั้นไม่เพียงพอ เธอจึงใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในการศึกษา “หลักการวีไอ” จากพ่อ และสุดท้ายก็ได้ชื่อบริษัทที่ต้องการซื้อหุ้น

หุ้นที่แดเนียลตัดสินใจซื้อ คือ โฮลฟู้ดส์  (Whole Foods) เครือซุเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังของสหรัฐฯ ก่อนจะตัดสินใจขายทิ้งเมื่อบริษัทถูกเอมะซอนเข้าซื้อ โดยทำกำไรได้ 41 เปอร์เซ็นต์ แม้แดเนียลจะเรียนรู้มาว่าหุ้นดีไม่ควรขาย แต่เธอก็บอกว่า บางครั้งการขายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แดเนียลบอกเล่าประสบการณ์ของเธอเอาไว้ว่า การลงทุนเน้นมูลค่าต้องอาศัยการฝึกฝน ไม่ต่างจากการเล่นเทนนิสหรือโยคะ และควรจะทำด้วยใจรัก ยิ่งทำก็จะยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ และไม่ต้องคิดว่าจะหยุดเมื่อไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำไปได้ตลอดชีวิตไม่มีกำหนด

นอกจากนี้ เธอยังย้ำกับทุกคนในสิ่งที่บัฟเฟตต์พูดบ่อยมากในช่วงหลังๆ ก็คือ ถ้าไม่มีเวลาทำการบ้านก็ให้ซื้อกองทุนอิงดัชนี หรือ index fund ที่มีต้นทุนต่ำๆ ซะ

เรื่องนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องเล่าธรรมด๊าธรรมดาที่ได้ยินกันอยู่เสมอ และอาจจะเป็นชีวิตจริงของคนอีกนับพัน ผมเองก็เคยเล่าเรื่อง “ไกด์แอน” มัคคุเทศก์วีไอ ที่เคยมาขอคำปรึกษาจากผม ก่อนจะเริ่มต้นลงทุนในแนววีไอและทำผลตอบแทนได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ในปีแรก มากกว่าตัวผมเองในช่วงเริ่มต้นเมื่อสิบห้าปีก่อนเสียด้วยซ้ำ (อ่านเรื่องราวของไกด์แอนได้ ที่นี่)

แต่ที่อยากเอามาถ่ายทอดไว้ในที่นี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจในเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังลูกผีลูกคน จนหลายท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีกับชีวิต

ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะบอกท่านว่า คนเราถ้าเลือก “วิถีทางที่ถูกต้อง” ไว้ก่อน สภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร เราจะหาทางไปของเราได้เสมอ แต่ถ้าวิธีผิด แม้วันนี้จะได้เงิน เดี๋ยววันข้างหน้าก็เจ๊ง ตัวอย่างมีให้เห็นกันอยู่มากมาย

เราก็เลือกเอาตัวอย่างที่ดี อย่าไปทำตามสิ่งที่แย่ก็แล้วกัน

—————————-

ข้อมูลประกอบจากบทความของ CNBC โดย Emmie Martin อ่านได้ ที่นี่

 

 

ปู่ชนะขาด! เดิมพันแห่งทศวรรษ

Warren_Buffett_at_the_2015_SelectUSA_Investment_Summit

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

หลังจากวัดกันมาสิบปีเต็ม ก็จบลงแล้วอย่างเป็นทางการ สำหรับการท้าเดิมพันแห่งทศวรรษ ระหว่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับ ผจก.เฮดจ์ฟันด์ คนหนึ่ง ว่า “index fund” ค่าธรรมเนียมต่ำๆ กับ “เฮดจ์ฟันด์” ที่บริหารโดยฟันด์เมเนเจอร์ค่าตัวแพงนั้น อะไรจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากัน

ซึ่งผลก็ออกมาตามคาด โดยกองทุนอิงดัชนี S&P 500 ที่ปู่เลือกมา ทำผลตอบแทนทบต้นได้ปีละ 7.1% ขณะที่เฮดจ์ฟันด์ของฝ่ายผู้ท้าชิง ทำได้เพียงปีละ 2.2%

เรียกได้ว่า ปู่ชนะขาดลอยกระจุยกระจายไม่เห็นฝุ่น!!

ทั้งนี้ กองทุนที่ปู่เลือก ทำให้เงินต้นเมื่อสิบปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขณะที่กองเฮดจ์ที่ผู้ท้าชิงเลือก ทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น

และตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ “ผู้แพ้” จะต้องมอบเงิน 1 ล้านเหรียญให้การกุศล ตามมูลนิธิที่ “ผู้ชนะ” เป็นผู้เลือก ซึ่งปู่ก็เลือก Girl Inc. of Omaha มูลนิธิเพื่อเด็กผู้หญิงแห่งโอมาฮา เรียกได้ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ได้บุญกันทั้งคู่ (แต่ไม่รู้ผู้แพ้จะเต็มใจแค่ไหน)

การเดิมพันครั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่ปู่เคยวิพากษ์วิจารณ์พวก ผจก.เฮดจ์ฟันด์ว่า ไม่สมควรที่จะได้รับค่าธรรมเนียมแพงๆ เพราะทำผลตอบแทนชนะกองทุนอิงดัชนีธรรมดาๆ ยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แถมยังประกาศท้าใครที่ข้องใจให้มาเดิมพันกัน โดยตนเองจะเลือก index fund มากองนึง (ปู่เลือก กองทุน S&P 500) ให้ผู้ท้าชิงเลือกเฮดจ์ฟันด์ที่ต้องการมาได้เลย

และก็เป็น ทอม เซเดส ผู้จัดการบริษัท โพรเทเจ พาร์ทเนอร์ส LLC ที่ออกมารับคำท้า โดยเซเดสได้เลือกกองทุนของบริษัทตัวเองจำนวนห้ากอง ก่อนจะแพ้ย่อยยับดังกล่าว

ในสหรัฐฯ Index Fund ที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำสุด อยู่ที่ราวๆ 0.03% ขณะที่เฮดจ์ฟันด์ มักใช้ระบบ “2- 20” คือ เก็บ 2% เป็นค่าบริหาร ไม่ว่าผลตอบแทนออกมาเป็นเช่นไร และหักอีก 20% จากกำไรที่ทำได้ ตรงนี้เองที่ปู่บอกว่า “แพงเว่อร์” ไม่สมเหตุสมผล

ผมเคยเขียนถึง index fund ไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งเทียบกับเมืองไทยให้เห็นกันด้วย จึงไม่ขอเพิ่มเติมในที่นี้ แค่อยากสรุปว่า …

ผลที่ออกมาครั้งนี้ เป็นการพิสูจน์คำสอนของปู่ที่ว่า ในโลกแห่งการลงทุน การทำอะไรที่ “เรียบง่าย” และ “น่าเบื่อ” สามารถเอาชนะการเล่นท่ายากท่าพิสดารได้เสมอครับ


ข้อมูลประกอบ :  ข้อมูลหลักจาก Yahoo Finance! ร่วมด้วย Forbes.com, Bloomberg.com