“สี่ชั่วโมงเปลี่ยนชีวิต”​ ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์

12249651_1057991477586212_3387239749019485759_n

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีคอนเน็คชั่น จะทำอะไรก็ง่ายแสนง่าย แต่ทุกคนล้วนต้องผ่านวันที่ยากลำบากมาก่อน วันที่ยังไม่มีใครรู้จัก ไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย จะยกเว้นก็เฉพาะบางคนที่พ่อรวยมาตั้งแต่เกิด

สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่พ่อของเขาก็เคยประสบปัญหาทางการเงิน ชีวิตปู่ในวัยเด็กจึงไม่ได้สบายอย่างที่ใครๆ คิด

สมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ปู่เริ่มลงทุนในหุ้นมาระยะหนึ่งแล้ว วันหนึ่งแกพบว่า เบนจามิน แกรแฮม ผู้เป็นทั้งไอดอล และเป็นอาจารย์ในคณะบริหารธุรกิจที่แกเรียนอยู่ มีตำแหน่งเป็นประธานบอร์ดของไกโค บริษัทรับประกันภัยรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก อีกทั้งบริษัทของแกรแฮมยังถือหุ้นไกโคอยู่ถึง 55 เปอร์เซ็นต์ ปู่จึงสนใจบริษัทนี้มากๆ

สิ่งที่ปู่ทำก็คือ ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ในเช้าวันเสาร์อันหนาวเหน็บ ปู่จับรถไฟเที่ยวแรกไปยังวอชิงตันดีซี เพื่อไปที่สำนักงานใหญ่ของไกโค โดยไม่ได้รู้จักใครใดๆ ทั้งสิ้น แกเดินเข้าไปที่บริษัทซึ่งแทบไม่มีใครมาทำงาน และบอก รปภ.ที่ตึกว่า แกเป็นนักศึกษาของ เบน แกรแฮม และอยากรบกวนให้ใครสักคนช่วยอธิบายธุรกิจของไกโคให้แกฟัง (ทั้งที่จริง ตอนนั้นแกยังไม่ได้เรียนกับแกรแฮมด้วยซ้ำ แค่เป็นนักศึกษาในคณะเฉยๆ)

และเป็นโชคดีสุดๆ ของปู่ ที่เช้าวันเสาร์นั้น ลอริเมอร์ เดวิดสัน รองประธานของไกโคนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศพอดี พอได้รับแจ้งจาก รปภ.เช่นนั้น ท่านรองจึงให้เจ้าหนุ่มบัฟเฟตต์ขึ้นมาพบได้ กะว่าจะยอมคุยด้วยสั้นๆ สักห้านาที ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของ เบน แกรแฮม คนใหญ่คนโตของบริษัท แล้วเชิญกลับบ้านไปซะ

ปรากฏว่า จากที่ตั้งใจไว้ “ห้านาที” กลับกลายเป็น “สี่ชั่วโมงเต็ม”

โดยเดวิดสันย้อนความหลังให้ฟังว่า หลังจากได้คุยกันแค่ 10-20 นาที เขาก็รู้แล้วว่า เด็กหนุ่มที่กำลังคุยกับเขาอยู่นี่ เป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดามากๆ แม้จะยังหนุ่ม แต่รู้อะไรเยอะมาก และถามคำถามเหมือนกับมืออาชีพที่อยู่ในแวดวงการลงทุนมานาน

เดวิดสันยังบอกด้วยว่า หลังจากมองแล้วว่าบัฟเฟตต์ไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา เขาจึงเริ่มถามกลับบ้าง และได้รู้ว่าแม้จะอายุน้อย แต่บัฟเฟตต์ก็มีธุรกิจของตัวเอง ทั้งยังทำเงินได้มากมายตั้งแต่อายุแค่สิบหก เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งทำให้เขาชื่นชมในตัวเจ้าหนุ่มบัฟเฟตต์อย่างยิ่ง

ฝ่ายปู่ก็เล่าย้อนความหลังให้ฟังว่า แกถามคำถามเดวิดสันมากมายเกี่ยวกับธุรกิจประกันและบริษัทไกโค คุยกันอยู่สี่ชั่วโมงเต็ม จนวันนั้นเดวิดสันไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวัน

ปู่บอกว่า “เขาคุยกับผมเหมือนผมเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลก”

แล้วปู่ก็สรุปว่า การที่เดวิดสันเปิดประตูให้แกเข้าไปพบในเช้าวันนั้น คือการเปิดประตูสู่โลกของธุรกิจประกันภัยให้กับแก ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกัน หลายปีต่อมา บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้นไกโคเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะซื้อทั้งบริษัทในที่สุด

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เมื่อปู่เข้าใจกลไกของธุรกิจประกันแจ่มแจ้งแล้ว แกได้ใช้มันเป็นเครื่องจักรผลิตเงินสดให้กับการลงทุนของตัวเองเรื่อยมา แม้ทุกวันนี้สภาพคล่องที่ล้นเกินอยู่เสมอของ เบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ ส่วนใหญ่ก็มาจากธุรกิจประกัน ซึ่งเป็นความรู้ที่แกได้จากการคุยกับเดวิดสันในเช้าวันนั้นเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนนั่นเอง

อาจกล่าวได้ว่า หากวันนั้นปู่ไม่ทำในเรื่องบ้าๆ อย่างการนั่งรถไฟหลายร้อยไมล์ไปพบใครก็ไม่รู้ในเช้าวันหยุด แกก็คงไม่ค้นพบวิธีหาเงินถุงเงินถังมาลงทุนในสารพัดธุรกิจจนสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ขนาดนี้ และโลกทั้งโลกก็คงไม่รู้จักชายที่ชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ อย่างแน่นอน

สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้ก็คือ ในวันที่เราไม่มีอะไร จงอย่าดูถูกตัวเอง หากเรามีความขยัน มุ่งมั่น ตั้งใจจริง และไม่ท้อแท้ สักวันต้องมีคนเห็น จงทำตัวให้เป็นคนน่ารัก รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนปู่ หากทำได้เช่นนี้ โอกาสดีๆ ย่อมจะตกมาถึงเรา

เหมือนที่ปู่เคยได้รับ “สี่ชั่วโมงเปลี่ยนชีวิต” ในเช้าวันเสาร์อันหนาวเหน็บที่ดีซี เมื่อหกสิบกว่าปีที่แล้วนั่นเอง

(ข้อมูลประกอบจากหนังสือ Tap Dancing to Work และ The Snowball)

Magic Formula (1)

magic-154526_960_720

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

นานมาแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือลงทุนเล่มหนึ่ง ผู้เขียนนำเสนอสูตรการลงทุนที่ฟังดูง่ายจนไม่น่าเชื่อ พออ่านจบ ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจที่ตรงไหน แม้ผู้เขียนพยายามบอกให้ “เชื่อ” ในสูตรที่เขานำเสนอ โดยมีข้อมูลสถิติมารองรับ ผมก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง

ผมคิดว่าอาจเป็นความบังเอิญทางสถิติ หรืออย่างมากที่สุด มันก็อาจเป็นแค่ความจริงที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งต่อไปอาจไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้ นี่เพราะโดยปกติ ผมเป็นคนค่อนข้างตั้งการ์ด ไม่ค่อยเชื่ออะไรที่ฟังดู “ง่ายเกินจริง” อยู่แล้ว

ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นชื่อ Joel Greenblatt เป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งต่อมาเขาได้ใช้สูตรที่เรียกว่า “Magic Formula” ดังกล่าว สร้างผลตอบแทนได้ปีละกว่า 40% ระหว่างปี 1985-2005 และมีบางข้อมูลระบุด้วยซ้ำไปว่า เขาทำได้เฉลี่ยถึง 50% ในช่วง 10 ปีแรก ระหว่างปี 1985-1994

นั่นแปลว่า สูตรที่ Joel นำเสนอ แม้จะง่ายจนไม่น่าเชื่อ แต่ก็ใช้ได้ผลจริง ทำผลตอบแทนทบเท่าทวีคูณได้จริง และทำให้คนที่เชื่อเขารวยได้จริง ไม่ได้โม้ ส่งผลให้ตัวเขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาลโดยไม่ต้องสงสัย (ทำลายสถิติ 29% ใน 14 ปี ของ ปีเตอร์ ลินช์ ขาดกระจุย)

พูดมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่า magic formula ที่ว่านั้นคืออะไร?

ผมสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้นะครับ

ข้อแรกคือ ให้จัดอันดับ ROE ของหุ้นทั้งตลาด จาก “มากไปหาน้อย” โดยหุ้นที่ ROE สูงที่สุดในตลาด จะได้อันดับที่หนึ่ง และได้ “1 คะแนน” หุ้น ROE สูงเป็นอันดับสอง จะได้ “2 คะแนน” เรียงกันไปเรื่อยๆ (ดังนั้น หุ้นที่ ROE ต่ำสุดในตลาดหุ้นไทย ก็น่าจะอยู่ที่ลำดับเกือบๆ 600 และได้เกือบๆ 600 คะแนน)

ข้อที่สองคือ ให้เรียงลำดับค่า P/E ของหุ้นทั้งตลาดจาก “น้อยไปหามาก” คือเอาหุ้นที่ P/E ต่ำสุดในตลาดเป็นอันดับหนึ่ง และถือว่าได้ “1 คะแนน” P/E อันดับสองได้ “2 คะแนน” เรียงกันไปเรื่อยๆ จนถึงหุ้นอันดับสุดท้ายในตลาด

จากนั้น ให้เอาคะแนนจากข้อที่หนึ่งและสองมาบวกกัน เช่น หุ้น SMDB มีค่า ROE อยู่ลำดับที่ 10 ในตลาด แต่มี P/E เป็นอันดับที่ 550 หุ้น SMDB จะได้คะแนนทั้งหมด 10+550 = 560 คะแนน

** สุดท้าย ให้เอาคะแนนของหุ้นทุกตัวในตลาดมาเรียงกัน แล้วเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้คะแนน “น้อยที่สุด” 30 ตัวแรก โดยลงทุนตั้งแต่ต้นปี แล้วถือไว้จนครบปี จากนั้นจึงเลือกหุ้นชุดใหม่โดยใช้เกณฑ์เดิม **

ท่านเข้าใจผมรึยังครับ ว่าทำไมผมถึง “ไม่เชื่อ” ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก ก็เพราะมัน “ง่ายจนเหลือเชื่อ” นั่นเอง

ในตอนต่อไป จะมาเล่าให้ฟังต่อว่า นอกจากตัวผู้คิดสูตร ที่ทำผลตอบแทนได้ 40%ใน 20 ปี แล้ว คนอื่นๆ ที่เค้าลองใช้สูตรนี้ได้ผลยังไงกันบ้าง รวมทั้งคนไทยที่ใช้ magic formula กับตลาดหุ้นไทยด้วย

… แต่ใบ้ให้ว่า ไม่ขี้เหร่เลยแม้แต่น้อยครับ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับหุ้นบุริมสิทธิ์

12249651_1057991477586212_3387239749019485759_n

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

คำว่า “หุ้น” อันเป็นที่รับรู้กันในความหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่ คือ “หุ้นสามัญ” ภาษาอังกฤษคือ common stock แต่ยังมีหุ้นอีกประเภทหนึ่ง คือ “หุ้นบุริมสิทธิ์” ภาษาอังกฤษคือ preferred stock ซึ่งเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ทว่าหลายคนอาจยังไม่รู้จัก จึงขอเล่าให้ฟังเบื้องต้นในที่นี้ก่อนนะครับ

หุ้นบุริมสิทธิ์ มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์ในทางทฤษฎีจึงถือเป็นเจ้าของกิจการเฉกเช่นเดียวกัน แต่พวกเขามีความได้เปรียบเหนือผู้ถือหุ้นสามัญอยู่สองประการ กล่าวคือ พวกเขาจะ “นำหน้า” ผู้ถือหุ้นสามัญ ในแง่ของการรับเงินปันผล และการได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สิน กรณีบริษัทมีการชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการ

ประการแรก ในแง่ของเงินปันผล โดยปกติแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับปันผลในอัตราที่ตายตัว เช่น 10%

หากปีไหนบริษัทขาดทุน จ่ายปันผลไม่ได้ และในปีต่อมาสามารถกลับมาจ่ายได้อีกครั้งหนึ่ง บริษัทก็จะต้องจ่ายปันผลชดเชยในส่วนของปีที่แล้วให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์เสียก่อน จากนั้นจึงเอาเงินที่เหลือมาแบ่งให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์และผู้ถือหุ้นสามัญเป็นปันผลของปีปัจจุบันไปตามสัดส่วน

จะเห็นได้ว่า ความสม่ำเสมอของรายได้เงินปันผล คือจุดเด่นหลักของหุ้นบุริมสิทธิ์ ทำให้หุ้นบุริมสิทธิ์ถูกมองว่าเป็น “fixed-income security” คือเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ 

(อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอาจมีความแตกต่างกันไป ตามข้อกำหนดของแต่ละบริษัท ผู้ที่จะลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ์จึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีทุกครั้ง)

ประการที่สอง ในกรณีบริษัทมีอันต้องชำระบัญชีเลิกกิจการ พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องปิดกิจการแล้วขายสินทรัพย์ทิ้ง ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งจากการขายสินทรัพย์นั้นก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่ถัดจากเจ้าหนี้)

นั่นแปลว่า ในบางกรณี ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์อาจได้รับเงินสดจากการขายสินทรัพย์ แต่เงินนั้นอาจไม่เหลือตกไปถึงผู้ถือหุ้นสามัญก็เป็นได้

คาวมได้เปรียบทั้งสองประการข้างต้น เป็นที่มาของชื่อ “preferred” stock คือเป็นหุ้นที่ “เป็นที่โปรดปราน” มากกว่า

อย่างไรก็ตาม หุ้นบุริมสิทธิ์ก็มีข้อเสียเปรียบบางประการที่ “เป็นรอง” หุ้นสามัญ กล่าวคือ แม้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะมีศักดิ์เป็น “เจ้าของกิจการ” แต่สิทธิ์ในการออกเสียงกลับมีน้อยกว่า

ทั้งนี้ หุ้นสามัญ 1 หุ้น จะมีสิทธิ์ออกเสียง 1 เสียง (1:1) แต่หุ้นบุริมสิทธิ์อาจมีสิทธิ์น้อยกว่านั้น เช่น ต้องใช้ถึง 5 หุ้น เพื่อโหวต 1 เสียง (5:1) เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์มีอำนาจในการควบคุมบริษัทน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญเยอะ นอกจากนี้ ในแง่ของราคาหลักทรัพย์ เมื่อบริษัทกำลังไปได้ดี ราคาของหุ้นสามัญก็มักจะเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการของบริษัท แต่ราคาของหุ้นบุริมสิทธิ์มักจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

เหตุผลที่บริษัทออกหุ้นบุริมสิทธิ์ ก็เพื่อเป็นการ “ระดมทุน” โดยเสนอผลตอบแทนในอัตราคงที่เป็นการแลกเปลี่ยน แต่ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมสูญเสียอำนาจควบคุมบริษัท (เมื่อเทียบกับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน) ซึ่งมองได้ว่าเป็นอะไรที่ “วิน-วิน” กันทั้งสองฝ่าย

โดยสรุปแล้ว นักลงทุนที่เหมาะจะถือหุ้นบุริมสิทธิ์ คือผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง โดยไม่หวังการเติบโตของเงินลงทุนมากนักนั่นเอง

ในตอนต่อไปจะมาเล่าถึงการลงทุนของปู่ในหุ้นบุริมสิทธิ์ รับรองว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวครับ